
วิกฤตชัตดาวน์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ย่างเข้าสู่วันที่ 36 ในวันนี้ (5 พ.ย.) และกำลังกลายเป็นครั้งที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ทำลายสถิติเดิมที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2019
ความพยายามล่าสุดในการโหวตร่างงบประมาณต้องประสบความล้มเหลวอีกครั้ง หลังวุฒิสภาปฏิเสธร่างกฎหมายของพรรครีพับลิกันเป็นครั้งที่ 14 ติดต่อกัน อีกทั้งยังไม่มีการกำหนดการลงมติใหม่ ทั้งต่อร่างกฎหมายชั่วคราวของพรรครีพับลิกัน หรือร่างของพรรคเดโมแครต ที่มีข้อเสนอเพิ่มงบประมาณด้านสาธารณสุขและโครงการด้านสังคมอื่นๆ
โดยการชัตดาวน์ทั้ง 2 ครั้งที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ล้วนเกิดขึ้นในยุคของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนสาเหตุข้อพิพาทครั้งนี้เกิดจากความเห็นต่างเรื่องเครดิตภาษีสนับสนุนเบี้ยประกันสุขภาพ ภายใต้โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Affordable Care Act) ซึ่งกำลังจะหมดอายุภายในสิ้นปี โดยหากไม่ได้รับการต่ออายุ จะทำให้ต้นทุนประกันสุขภาพของชาวอเมริกันหลายล้านคนพุ่งสูงขึ้น
พรรคเดโมแครตยืนยันว่า จะไม่สนับสนุนร่างกฎหมายที่ไม่มีการต่ออายุเครดิตภาษีดังกล่าว ขณะที่ พรรครีพับลิกันปฏิเสธที่จะเจรจาในระหว่างที่รัฐบาลยังปิดทำการอยู่ แม้พรรครีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา แต่ยังจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจากเดโมแครตเพื่อผ่านเกณฑ์ 60 เสียง โดยสมาชิกพรรครีพับลิกันบางรายเริ่มแสดงความหวังว่า ภาวะชัตดาวน์อาจสิ้นสุดในสัปดาห์นี้ โดยไมค์ ราวน์ดส์ (Mike Rounds) วุฒิสมาชิกจากรัฐเซาท์ดาโคตา เชื่อว่าพรรคเดโมแครตจะเปิดรับการเจรจามากขึ้น หลังจากทำลายสถิติชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุด และหลังการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเสร็จสิ้น
ขณะที่ มาร์กเวย์น มัลลิน (Markwayne Mullin) วุฒิสมาชิกจากรัฐโอคลาโฮมา กล่าวเพิ่มเติมว่า “มั่นใจพอสมควรว่า ชัตดาวน์จะจบลงภายในไม่กี่วันข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเดโมแครตยังไม่เห็นสัญญาณของการประนีประนอมในเร็ววัน โดยริชาร์ด บลูเมนธาล (Richard Blumenthal) วุฒิสมาชิกจากรัฐคอนเนตทิคัต ระบุว่า “แม้จะมีสัญญาณว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง แต่ผมยังไม่เห็นทางออกที่ใกล้เข้ามาเลย”
ส่วนเอลิซาเบธ วอร์เรน (Elizabeth Warren) วุฒิสมาชิก รัฐแมสซาชูเซตส์ กล่าวต่อคำถามถึงความหวังของพรรครีพับลิกันว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ดี แต่จนถึงตอนนี้ พวกเขายังไม่เคยยอมมานั่งโต๊ะเจรจากับพรรคเดโมแครตเลยสักครั้งเดียว”
ทั้งนี้ การชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อ กำลังสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อทั้ง 2 พรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อรัฐบาลกลาง ที่ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนให้เจ้าหน้าที่จำนวนหลายแสนคนได้ ขณะที่ ประชาชนเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ลุกลามเป็นวงกว้าง
ที่มา: CNBC, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
