Fund Comment กันยายน 2025: มุมมองตลาดตราสารหนี้

Fund Comment กันยายน 2025: มุมมองตลาดตราสารหนี้

  • ภาพรวมตลาดในเดือนก.ย. มีปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ โดยประเด็นหลัก ได้แก่ 1) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรต่างประเทศปรับเพิ่มสูงขึ้น 2) Fitch rating ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลฝรั่งเศสจาก AA- เป็น A+ 3) Fitch rating ปรับลดมุมมองไทยเป็น “ลบ” (Negative) จาก “มีเสถียรภาพ” (Stable) และ 4) เฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 4.00-4.25%
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรต่างประเทศปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลหลายประเทศในยุโรป รวมถึงสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและความกังวลต่อสถานะทางการคลัง หนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง ทำให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินและการคลังของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ๆ หลายแห่ง  เช่น ผลลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีของอังกฤษ พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.64% ด้วยสาเหตุหลักมาจากภาวะเงินเฟ้อที่สูง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่ำ และความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะเดียวกัน ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีของฝรั่งเศส ก็พุ่งไปอยู่ที่ 4.45% ทะลุระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี
  • Fitch Rating บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลฝรั่งเศสจาก AA- เป็น A+ พร้อมแนวโน้มมีเสถียรภาพ โดยระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อันดับเครดิตลดลงได้แก่ อัตราส่วนหนี้สาธารณะที่ระดับสูงและเพิ่มขึ้น การแบ่งขั้วทางการเมืองที่ขัดขวางการคุมเข้มงบประมาณ ผลการดำเนินงานทางการคลังที่อ่อนแอ และการขาดดุลที่ระดับสูงในปีนี้
  • Fitch Rating ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของไทย จาก “มีเสถียรภาพ” (Stable) เหลือ “ลบ” (Negative) แม้ยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ BBB+ ประเด็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับฐานะการคลังที่อ่อนแอลง ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางการเมือง ทั้งนี้ Fitch ได้ระบุเหตุผลว่า ปัจจัยเสี่ยงภายนอก เช่น ความเปราะบางของเศรษฐกิจทั่วโลก การชะลอตัวของภาคการส่งออก และภาระหนี้ภาครัฐที่อาจเพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่รายได้ของรัฐถูกกดดัน ได้ส่งผลให้มุมมองของอันดับเครดิตลดลง และ Fitch ได้เตือนว่า หากเกิดความล่าช้าในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หรือหนี้ภาครัฐ-การคลังแย่กว่าคาด อาจมีการลดอันดับเครดิต (Downgrade) ได้ในอนาคต
  • การประชุมนโยบายการเงินของเฟดในเดือน ก.ย. มีมติ 11-1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 25bps สู่ระดับ 4.00-4.25% นับเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ โดย 1 เสียงที่แตกต่าง คือ สตีเฟ่น มิราน ซึ่งเป็นสมาชิกคนล่าสุดที่ได้รับการเลือกจากประธานาธิบดี ทรัมป์และเพิ่งได้รับการอนุมัติจากสภาได้ โหวตให้ลดดอกเบี้ยมากถึง 50bps ทางด้านประธานเฟด เจอโรม พาวเวล์ ระบุในแถลงการณ์ว่า ตลาดแรงงานที่มีสัญญาณอ่อนแอลงมากเป็นสาเหตุหลักที่เฟดตัดสินใจลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ อย่างไรก็ดี แรงกดดันเงินเฟ้อจากภาษีนำเข้ายังคงเป็นที่น่ากังวล ดังนั้น เฟดยังต้องระมัดระวังเรื่องการลดดอกเบี้ยและไม่รีบร้อน โดยจะตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า จากการพิจารณาตามแต่ละรอบการประชุม ขณะที่ แนวโน้มดอกเบี้ย หรือ Dot Plot บ่งชี้ว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง (รวม 50bps) ในปีนี้ สู่ระดับ 3.50-3.75% ณ สิ้นปี จากเมื่อเดือนมิ.ย. ที่มองดอกเบี้ยปลายปี ที่ 3.75-4.00%
  • ยอดส่งออกเดือนส.ค. ขยายตัว 5.8% YoY ต่ำกว่าคาดและสิ้นสุดการขยายตัวสองหลักใน 7 เดือนแรกของปี ซึ่งตัวเลขการส่งออกในเดือน ส.ค. สะท้อนให้เห็นว่า ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลแล้ว แม้ว่าผลกระทบที่เห็นได้ชัดอาจยังมีไม่มากนัก ทั้งนี้ การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขยายตัว 12.8% YoY (vs. 31.4% เดือนก่อน)
  • อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในเดือน ส.ค. ลดลง -0.79% YoY ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สะท้อนให้เห็นว่า ความต้องการใช้จ่ายภายในประเทศยังคงอ่อนตัว ผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่าย อาจเนื่องจากรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้นมากหรือ ความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อปีนี้อยู่ที่ 0.00 – 1.00% (ค่ากลาง 0.5%) แต่จะมีการทบทวนอีกครั้งในเดือนต.ค. ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์มองว่า แม้ราคาผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องแต่ยังไม่ถือเป็นภาวะเงินฝืด เพราะเป็นการลดลงเฉพาะบางกลุ่มสินค้า และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานยังคงเพิ่มขึ้น
  • บลจ.บัวหลวง มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีทิศทางลดลง จากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามประเด็นความเสี่ยงที่เข้ามากดดันต่อตลาดตราสารหนี้ได้จากความผันผวนของพันธบัตรระยะยาวของประเทศหลักๆ รวมทั้งประเด็นหนี้สาธารณะที่จะเข้ามาสร้างความกดดันได้เป็นระยะๆ จากความกังวลอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ณ สิ้นเดือน ก.ย. ช่วงอายุไม่เกิน 1 ปี ปรับลดลง 15-21 bps และอายุ 10 ปี 20 ปี ลดลง7-15 bps เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนที่แล้ว สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ขณะที่ ช่วงอายุ 2-5 ปี เพิ่มขึ้น  1-6 bps
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย ณ สิ้นเดือน ก.ย. ช่วงอายุไม่เกิน 1 ปี ปรับลดลง 3-6 bps ขณะที่ ช่วงอายุอื่นๆ ปรับเพิ่มขึ้น 3-26 bps โดยเฉพาะช่วงอายุคงเหลือยาวที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งในช่วงกลางเดือน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีความผันผวนมาก จากการเทขายพันธบัตรระยะยาว โดยพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดตั้งแต่ปลายเดือนก.ค. ที่ราว 1.52%