บัตรเครดิต มีดีไหม
โดย…อรพรรณ บัวประชุม CFP®
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน
BF Knowledge Center
มีบัตรเครดิตดีไหม เรื่องง่ายๆ ที่ใครหลายคนอาจไม่รู้ว่า การมีบัตรเครดิตนั้น ถือเป็นเครื่องมือที่ดี และสะดวก ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องพกเงินสดจำนวนมาก หากต้องการซื้อของชิ้นใหญ่ เพราะการพกเงินสดสมัยนี้ มีความเสี่ยง และอันตราย หากมีใครขโมย หรือทำตกหล่นสูญหายไปคงเสียดายแย่
นอกจากนี้การมีบัตรเครดิตไว้ในครอบครองยังมีข้อดีอีกมาก บางครั้งการซื้อของด้วยบัตรเครดิตอาจทำให้คุณได้ราคาสินค้าหรือบริการที่ถูกลงกว่าการจ่ายด้วยเงินสด เพราะบริษัทบัตรเครดิตมีการจัดโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้า หรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ จึงทำให้การซื้อของผ่านบัตรเครดิตถูกกว่าจ่ายด้วยเงินสดเสียอีก
อีกทั้งการใช้จ่ายในแต่ละครั้งยังได้ Point (คะแนน) สะสม นำมาใช้แลกของ หรือเป็นส่วนลดในการจับจ่าย เช่น ใช้ Point เท่ากับราคาสินค้าที่ต้องการซื้อ ได้รับส่วนลด 18% เป็นต้น ส่วน Point สะสมได้มาง่ายๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทบัตรที่เสนอให้ บางบัตรใช้ 25 บาท ได้ 1 Point บางบัตรใช้ 15 -20 บาทได้ 1 Point ยิ่งได้มากยิ่งมีโอกาสแลกรับส่วนลดได้มากขึ้น
ที่พิเศษไปกว่านั้นคือระยะเวลาการชำระเงินยาว 45-55 วัน แล้วแต่บริษัทบัตรเครดิต ทำให้เราสามารถหมุนเงินสดได้ทันการ บางครั้งอาจมีโปรโมชั่นผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน 4 เดือน 6 เดือน 10 เดือน 12 เดือน หรือ 24 เดือน ขึ้นอยู่กับบัตรและวงเงินที่ใช้ ทำให้เราไม่ต้องจ่ายเงินก้อนโตในทันที
พูดถึงแง่ดีไปแล้ว ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย เพราะการใช้บัตรเครดิตเปรียบเสมือนกับการใช้เงินในอนาคต ดังนั้นถ้าไม่รู้จักใช้บัตร ก็อาจจะเสี่ยงเป็นหนี้ที่ไม่สามารถชำระได้ และถ้าชำระหนี้บัตรไม่ตรงเวลา หรือชำระไม่เต็มจำนวน ก็จะทำให้มีดอกเบี้ยเกิดขึ้น ซึ่งดอกเบี้ยสูงประมาณ 20% ต่อปี ถ้าเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ก็ถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่สูงมาก ดังนั้นวิธีง่ายๆ ไม่ให้ลืมตัวรูดเพลินจนเกินเหตุ แนะนำให้กันช่องในกระเป๋าช่องหนึ่งสำหรับเงินที่จะต้องจ่ายบัตรเครดิต เช่น รูดซื้อของ 1,000 บาท ก็นำเงิน 1,000 บาท มาใส่เอาไว้ในช่องนั้น เพื่อจะได้รู้ว่า เรามีความสามารถในการใช้จ่าย
ขณะที่ การกดเงินจากบัตรเครดิต นั่นหมายถึงคุณต้องเสียเงินตั้งแต่ตอนที่กด ซึ่งไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง (หากไม่จำเป็นจริงๆ) เพราะนอกจากจะโดนดอกเบี้ยจ่ายแล้ว คุณยังมีค่าธรรมเนียมในการกดเงินสดอีก 3% เช่น กดเงินสด 10,000 บาท ต้องเสีย 300 บาท
ส่วนจะมีบัตรเครดิตกี่ใบถึงจะเหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ โดยปกติส่วนใหญ่จะมีบัตรหลักเพียง 1-2 ใบ นอกนั้นอาจเลือกใช้บางโอกาส เช่น ใช้สำหรับเติมน้ำมัน หรือ สำหรับช้อปปิ้ง เพราะจะได้ส่วนลดที่มากขึ้น หรือเลือกใช้ VISA MASTERCARD ที่นิยมใช้ทั่วโลก ส่วน JCB จะได้สิทธิพิเศษบางอย่าง เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่น การใช้จ่ายที่ประเทศญี่ปุ่น หรือมี เลาจน์รับรองที่สนามบิน
หากมีบัตรเครดิตมากกว่า 1 ใบ แนะนำใบที่ 2 ใบที่ 3 ให้มีวันตัดรอบบัตรเครดิตที่ต่างกัน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการบัตรให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น ใบที่ 1 ตัดบัตรทุกวันที่ 10 ใบที่ 2 ตัดบัตรทุกวันที่ 15 หากเราต้องการรูดบัตรในวันที่ 12 เราสามารถเลือกใช้บัตรใบที่ 1 ซึ่งเพิ่งตัดรอบไป จะทำให้การรูดในวันที่ 12 นี้ เป็นการรูดบัตรรอบใหม่ รอบการตัดเงินในบัตรจะเป็นรอบถัดไป ซึ่งเราจะได้ประโยชน์กว่าการรูดบัตรใบที่ 2 ที่จะตัดบัตรในรอบนี้
ถ้าจำเป็นต้องการซื้อของชิ้นใหญ่แต่ไม่มีโปรโมชั่นผ่อน 0% แต่จะให้จ่ายเต็มในครั้งเดียวก็คงไม่ไหว แนะนำให้เลือกสินค้าที่ต้องการก่อน จากนั้นให้โทรติดต่อบริษัทเจ้าของบัตรเครดิต เพื่อขอผ่อนดอกเบี้ยพิเศษเฉพาะสินค้าชิ้นนั้น จะทำให้ เราไม่เป็นหนี้จากบัตรเครดิตทั้งก้อน จะได้รับสิทธิผ่อนเฉพาะสินค้าชิ้นนั้นในอัตราพิเศษ เพียงเท่านี้ ก็ช่วยลดความกังวล ลดดอกเบี้ยจ่ายอัตราสูง แถมได้สินค้าไปใช้ก่อนด้วย
การใช้บัตรเครดิตให้เป็น มีประโยชน์มากมาย แต่ต้องจ่ายให้ตรง จ่ายให้เต็ม จึงจะใช้บัตรได้อย่างคุ้มค่า สะดวก ปลอดภัย ที่สำคัญควรใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริงๆ อย่าได้เพลิดเพลินกับการอำนาจการจับจ่ายที่มากเกินความสามารถการชำระเงินของเรา แล้วเราจะใช้จ่ายบัตรเครดิตได้โดยไม่ต้องกังวล