แมคคินเซย์ รายงานว่า สถาบันการเงินทั่วโลกในเวลานี้มีการทำธุรกรรมผ่านดิจิทัลมากกว่าสาขา โดยตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินหลังปี 2000 เป็นต้นมา ธนาคารในสหรัฐมากกว่า 1 หมื่นสาขาก็ปิดตัวลง เฉลี่ย 3 สาขาต่อวัน แต่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ แต่สาขา ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการของธนาคาร และทำหน้าที่ในการคอยให้คำแนะนำกับลูกค้า โดยสาขายังคงเป็นช่องทางจำหน่ายสำคัญ เช่นในยุโรป 30-60% ของลูกค้าต้องการทำธุรกิจบางอย่างที่สาขาอยู่
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นที่มานำไปสู่การมีสาขาอัจฉริยะ หรือ smart branch นั่นก็คือ เป็นสาขาที่ใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อนยอดขายและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยสาขารูปแบบนี้ต้องการพื้นที่ใช้สอยน้อยลง และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในสาขาได้ 60-70% ช่วยในเรื่องประหยัดต้นทุนและเพิ่มยอดขาย
จากงานวิจัยของแมคคินเซย์ สะท้อนว่า หลายธนาคารทั่วโลก เริ่มใช้โครงสร้างของสาขาอัจฉริยะกันแล้ว ไม่ใช่แค่การใส่เครื่องจักรใหม่ๆ หรือ ซื้อแท็บเล็ตมา แต่สาขาอัจฉริยะ คือ การผสานรวมเทคโนโลยีที่ทันสมัยกับตัวสาขา ทำให้ต้นทุนถูกลง น่าเชื่อถือขึ้น เข้าถึงได้ง่ายขึ้น การยอมรับรูปแบบสาขาใหม่ที่ไม่มีโต๊ะทำงานในรูปแบบตายตัว ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี และการวิเคราะห์ขั้นสูงเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานของสาขา ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะบุคคล การใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนยอดขาย การบริหารงานที่เห็นผลการดำเนินงานแบบเรียลไทม์ และการพัฒนาทักษะ
สำหรับธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยนั้น เทคโนโลยีเข้ามาเพื่อเป้าหมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านการโอนย้ายธุรกรรมและการขายไปสู่ช่องทางดิจิทัลที่ลูกค้าเข้าถึงได้ 24 ชั่วโมง ทุกวัน การที่ลูกค้ามีประสบการณ์ผ่านการเข้าถึงช่องทางหลายๆ ช่องทาง ซึ่งหมายความว่าลูกค้าจะได้ประสบการณ์แบบไร้รอยต่อทั้งบนออนไลน์ บนแอพพลิเคชั่น และที่สาขา โดยลูกค้าสามารถมาที่สาขาอัจฉริยะได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนเพื่อได้ทุกสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างเช่น สินเชื่อ บัตรเครดิต ที่จัดการได้อย่างรวดเร็ว