ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่เดือนแรกของไตรมาสสุดท้ายแห่งปี เผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก ท่ามกลางปัจจัยลบภายนอกรุมเร้า ดัชนีปรับตัวลดลงประมาณ 7% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก สาเหตุหลักมาจากความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ โดยในต้นเดือนตุลาคม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลก ในปี 2018 และ 2019 ลดลงเป็น 3.7% ทั้งสองปีจากประมาณการในเดือนกรกฎาคมที่ระดับ 3.9% โดยให้น้ำหนักความเสี่ยงของสงครามการค้า ความเปราะบางทางเศรษฐกิจรายประเทศ และภาวะการเงินโลกที่มีแนวโน้มตึงตัวขึ้นต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน ความกังวลที่เพิ่มขึ้นจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10YR US Bond Yield) ที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3.24% ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ปี 2011 จากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดหลังมีสัญญาณเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ทำให้เกิดการลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงในเดือนนี้ยังเป็นช่วงการประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม โดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯบางรายได้เปิดเผยผลประกอบการที่สร้างความผิดหวังให้กับตลาด กอปรกับมูลค่าที่ตึงตัวจากความคาดหวังที่สูง ทำให้ระยะเวลาการปรับฐานนั้นในกินระยะเวลานานขึ้น
สำหรับตลาดหุ้นไทย นอกจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกข้างต้นแล้ว ปัจจัยภายในประเทศเองนั้น ก็มีอยู่หลายประเด็น ตัวเลขภาคการส่งออกติดลบครั้งแรกในรอบ 19 เดือน รายได้ภาคการเกษตรที่หดตัว และภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรหลังจากที่ขึ้นไปในช่วงก่อนหน้า นักลงทุนลดความเสี่ยงลง (Risk off) โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิตลาดหุ้นในเดือนตุลาคมกว่า 6 หมื่นล้านบาทเป็นรายเดือนมากที่สุดในปี รวมตั้งแต่ต้นปีขายสุทธิสะสม 2.7 แสนล้านบาท
โดยตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคม ปรับลดลง กระจายตัวในทุกหมวดอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันและการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตามคาดได้รับแรงหนุนจากสภาพคล่องในประเทศและเม็ดเงิน LTF ที่จะทยอยเข้ามาในช่วงไตรมาสสี่ของทุกปี
ภาพรวม ตลาดหุ้นไทยยังคงถูกกดดันจากปัจจัยลบต่างๆ แต่มีโอกาสที่จะผ่อนคลายลงได้บ้าง ด้วยความที่ตลาดได้รับรู้ปัจจัยลบในเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกไปพอสมควร ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีและยังมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่จากทั้งภาครัฐและเอกชนรออยู่ข้างหน้า กอปรกับเม็ดเงินจาก LTF ในช่วงปลายปี จะช่วยหนุนตลาดไว้ได้ ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อจากนี้ ความคืบหน้าแผนการลงทุนขนาดใหญ่ต่างๆ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและต่างชาติ ทิศทางการเลือกตั้ง
รวมถึงพัฒนาการต่อความกังวลเศรษฐกิจรายประเทศและสงครามการค้า เรายังคงกลยุทธ์ในการพิถีพิถันเลือกลงทุนเป็นพิเศษ ในหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มของผลประกอบการที่แข็งแกร่งและระดับราคาที่เหมาะสม เป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับการลงทุนในช่วงนี้
Fund Comment
Fund Comment: ภาพรวมตลาดหุ้นตุลาคม 2561
ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่เดือนแรกของไตรมาสสุดท้ายแห่งปี เผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก ท่ามกลางปัจจัยลบภายนอกรุมเร้า ดัชนีปรับตัวลดลงประมาณ 7% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก สาเหตุหลักมาจากความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ โดยในต้นเดือนตุลาคม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลก ในปี 2018 และ 2019 ลดลงเป็น 3.7% ทั้งสองปีจากประมาณการในเดือนกรกฎาคมที่ระดับ 3.9% โดยให้น้ำหนักความเสี่ยงของสงครามการค้า ความเปราะบางทางเศรษฐกิจรายประเทศ และภาวะการเงินโลกที่มีแนวโน้มตึงตัวขึ้นต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน ความกังวลที่เพิ่มขึ้นจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10YR US Bond Yield) ที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3.24% ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ปี 2011 จากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดหลังมีสัญญาณเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ทำให้เกิดการลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงในเดือนนี้ยังเป็นช่วงการประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม โดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯบางรายได้เปิดเผยผลประกอบการที่สร้างความผิดหวังให้กับตลาด กอปรกับมูลค่าที่ตึงตัวจากความคาดหวังที่สูง ทำให้ระยะเวลาการปรับฐานนั้นในกินระยะเวลานานขึ้น
สำหรับตลาดหุ้นไทย นอกจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกข้างต้นแล้ว ปัจจัยภายในประเทศเองนั้น ก็มีอยู่หลายประเด็น ตัวเลขภาคการส่งออกติดลบครั้งแรกในรอบ 19 เดือน รายได้ภาคการเกษตรที่หดตัว และภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรหลังจากที่ขึ้นไปในช่วงก่อนหน้า นักลงทุนลดความเสี่ยงลง (Risk off) โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิตลาดหุ้นในเดือนตุลาคมกว่า 6 หมื่นล้านบาทเป็นรายเดือนมากที่สุดในปี รวมตั้งแต่ต้นปีขายสุทธิสะสม 2.7 แสนล้านบาท
โดยตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคม ปรับลดลง กระจายตัวในทุกหมวดอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันและการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตามคาดได้รับแรงหนุนจากสภาพคล่องในประเทศและเม็ดเงิน LTF ที่จะทยอยเข้ามาในช่วงไตรมาสสี่ของทุกปี
ภาพรวม ตลาดหุ้นไทยยังคงถูกกดดันจากปัจจัยลบต่างๆ แต่มีโอกาสที่จะผ่อนคลายลงได้บ้าง ด้วยความที่ตลาดได้รับรู้ปัจจัยลบในเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกไปพอสมควร ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีและยังมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่จากทั้งภาครัฐและเอกชนรออยู่ข้างหน้า กอปรกับเม็ดเงินจาก LTF ในช่วงปลายปี จะช่วยหนุนตลาดไว้ได้ ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อจากนี้ ความคืบหน้าแผนการลงทุนขนาดใหญ่ต่างๆ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและต่างชาติ ทิศทางการเลือกตั้ง
รวมถึงพัฒนาการต่อความกังวลเศรษฐกิจรายประเทศและสงครามการค้า เรายังคงกลยุทธ์ในการพิถีพิถันเลือกลงทุนเป็นพิเศษ ในหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มของผลประกอบการที่แข็งแกร่งและระดับราคาที่เหมาะสม เป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับการลงทุนในช่วงนี้