สรุปภาวะการลงทุนในทองคำ
“ในไตรมาสสุดท้าย ราคาทองคำ น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ USD 1,200 oz. และมีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในขาลงมากกว่าขาขึ้น เนื่องจากแนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงิน USD และแผนการปรับขึ้น Fed Fund Rate ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า”
ราคาทองคำ ในช่วงที่ผ่านมาของปี 2018 ได้รับแรงกดดันอย่างมากจากปัจจัยหลัก ได้แก่ เงิน USD ที่แข็งค่าขึ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Fed Fund Rate) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทว่า ราคาทองคำ ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือน ต.ค. อยู่ที่ -6.8% โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,177-1,363 ดอลลาร์ฯ/ออนซ์ โดยราคาทองคำ นับตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. สามารถกลับตัวฟื้นขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 20 เดือนในช่วงไตรมาส 3 ได้ จากความต้องการเข้าซื้อทองคำจากฝั่งผู้บริโภคเพื่อปกป้องมูลค่าทรัพย์สินและอุปสงค์ต่อสินทรัพย์ปลอดภัยที่เร่งตัวขึ้นท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลกและปัญหาเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการตกลงเรื่อง Brexit ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และซาอุดิอาระเบีย หรือปัญหาเรื่องงบประมาณของอิตาลี รวมไปถึงการเข้าถือทองคำเพิ่มขึ้นของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก ซึ่งช่วยชดเชยการขายทองคำ จากฝั่ง ETF ได้
ทั้งนี้ ล่าสุดผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่ออกมาว่าพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนและพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาส่งผลให้ในระยะสั้นค่าเงิน USD อาจชะลอการแข็งค่าลงมาบ้าง เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ อาทิเช่น การลดภาษีนิติบุคคล การใช้งบประมาณขาดดุล อาจไม่ได้เป็นไปตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เคยประกาศไว้ก่อนหน้า ซึ่งส่งผลบวกต่อราคาทองคำ ด้วยความสัมพันธ์ที่ผกผันกันระหว่างราคาทองคำกับค่าเงิน USD
แนวโน้มราคาทองคำ
การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในครั้งนี้น่าจะเป็นเพียงระยะสั้น โดยทิศทางราคาทองคำน่าจะยังคงอยู่ขาลงมากกว่าขาขึ้นและมีโอกาสลดลงต่ำกว่าระดับ USD 1,200 ดอลลาร์ฯ/ออนซ์ แต่ไม่น่าต่ำกว่า USD 1,150 ดอลลาร์ฯ/ออนซ์ เหตุจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบันผนวกกับการปรับขึ้น Fed Fund Rate ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Interest Rate) เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยในการกดดันราคาทอง ผนวกกับแนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงิน USD อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่นักลงทุนควรติดตามได้แก่ ความคืบหน้าในการเจรจาเรื่องการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ก่อนการขึ้นภาษีนำเข้ารอบสุดท้ายของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า ซึ่งอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในระยะสั้นนี้ได้
กองทุนหลัก (Master Fund)
ชื่อ: SPDR Gold Trust
นโยบายลงทุน: มุ่งเน้นลงทุนในทองคำแท่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนหลักหลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจัดการทั้งหมดของกองทุน ให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำแท่ง
ประเภทโครงการ: กองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์
วันจัดตั้งกองทุน: 18 พฤศจิกายน 2004
ประเทศที่จดทะเบียน: สิงคโปร์
สกุลเงิน: USD
เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): LBMA Gold Price PM
Morningstar Category: US ETF Commodities Precious Metal
Bloomberg code: GLD:SP
Trust’s Holdings: Physical gold bullion kept in the form of London Good Delivery bars and held in allocated account
*ที่มา State Street Global Advisors ข้อมูลเดือนกันยายน 2018 ดูรายละเอียดกองทุนรวมต่างประเทศได้ที่ https://www.bblam.co.th/application/files/6915/3967/7129/GLD_Factsheet_SG_Sept_18.pdf
ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลังกองทุนเปิดบัวหลวงโกลด์ฟันด์ ณ วันที่ 31 ต.ค. 2018