กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH) กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยีเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INNOTECHRMF)

กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH) กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยีเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INNOTECHRMF)

“A sector of unique opportunities driven by innovation.”

กระแสความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มโกลบอลเทคโนโลยี

ในปีนี้ภาพรวมผลตอบแทนดัชนีหุ้นในกลุ่มโกลบอลเทคโนโลยี เมื่อวัดจากดัชนี MSCI ACWI Information Technology (+2.26% ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนพ.ย.) นั้นแตกต่างจากปีที่ผ่านมาอยู่มาก เนื่องจากปีที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มโกลบอลเทคฯ เพิ่มขึ้นจากโมเมนตัมของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ในกลุ่มอินเทอร์เน็ตและเซมิคอนดักเตอร์ แต่ในปีนี้ผู้ถือหน่วยลงทุนจะสังเกตพบได้ว่าระดับราคาตลาดของหุ้นในกลุ่มนี้กลับมาสู่พื้นฐานที่แท้จริงมากขึ้น เห็นได้ชัดจากผลตอบแทนหุ้นบริษัทในกลุ่ม FAANG เช่น FACEBOOK INC และ NETFLIX INC ที่ร่วงลง อย่างไรก็ตามยังมี Sub-sector ที่กลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีในปีนี้ ซึ่งก็คือบริษัทในกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้านการสื่อสาร อาทิ บริษัท ERICSSON (LM) TELE CO สัญชาติสวีเดน ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +46% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนต.ค. กองทุนหลักมีน้ำหนักลงทุนสัดส่วน 1.28% ในบริษัทดังกล่าว

ดัชนี MSCI ACWI Information Technology ในช่วงสงความการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ปะทุนั้น เพิ่งจะร่วงลงจริงๆจังๆ ในเดือน ต.ค.-พ.ย. กองทุนหลักถือโอกาสเพิ่มสัดส่วนในบริษัทเทคโนโลยีจีนภายหลังจากที่ตลาดปรับตัวลดลงไปเยอะมากแล้ว เช่น บริษัท BAIDU INC ที่กองทุนหลักมีสัดส่วนลงทุน 3.16% เนื่องจากมองว่า BAIDU INC เองไม่ได้ทำธุรกิจเพียงแค่ Search engine ให้คนจีนได้ใช้เท่านั้น แต่ยังทำธุรกิจยานยนต์ไร้คนขับร่วมกับค่ายรถยนต์วอลโว่ อีกทั้งมีงบลงทุนด้านงานวิจัยและพัฒนาสูงระดับ 52% ของเงินลงทุนบริษัท

น้ำหนักลงทุนใน Sub-Sector ที่สำคัญของกองทุนหลัก ณ สิ้นเดือนต.ค. 2018 ดังนี้

  1. เซมิคอนดักเตอร์ และชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ 22.50%
  2. อินเทอร์เน็ตและมีเดีย 15.4%
  3. เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ 8.8%
  4. ไอที เซอร์วิส 7.8%
  5. เอนเตอร์เทนเมนต์ 6.6%
  6. ค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต 5.7%
  7. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้านการสื่อสาร 4.1%
  8. ยานยนต์ 1.6%

การที่กองทุนหลักเน้นถือครองหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ในสัดส่วนสูง เนื่องจากเป็นส่วนประกอบสำคัญในยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ อาทิ บริษัท INTEL CORP, INFINION TECHNOLOGIES, NXP SEMICONDUCTOR ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่มีข้อได้เปรียบทางด้านนวัตกรรมแห่งอนาคตซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้า ความจริงก็คือตลาดยานยนต์ไฟฟ้าจีนยังคงต้องพึ่งพิงส่วนประกอบเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศอยู่มาก เช่น บริษัท Lam research และบริษัท KLA-Tencor เป็นต้นน้ำรายใหญ่ที่คอยป้อนชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ให้กับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าค่ายจีนยี่ห้อดังที่ชื่อว่า BYD

ผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ในไตรมาสสาม อาทิ บริษัท AMAZON (มูลค่าตลาด 810 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และ GOOGLE (มูลค่าตลาด 743 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) แม้มีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักร แต่ไม่สำคัญมากนัก เพราะเป็นปัจจัยลบที่เกิดจากโมเมนตัม เป็นปกติที่รายได้ของบริษัทในกลุ่มโกลบอลเทคฯ จะไม่สม่ำเสมอทุกไตรมาส หากหันมาดูหุ้นโกลบอลเทคฯ ในกลุ่มเอนเตอร์เทนเมนต์ เช่น โมบายและอินเทอร์เน็ตเกมส์ นักวิเคราะห์ของฟิเดลิตี้คาดว่า จะมีดีลควบรวมเกิดขึ้นจากนี้ไป โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มผู้ผลิตคอนเทนต์เกมส์ออนไลน์ซึ่งกองทุนหลักมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 6.6% ของพอร์ตการลงทุน

ธีมที่กองทุนหลักสนใจลงทุนเพิ่มคือ ยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งอยู่ในกลุ่มยานยนต์ทั้งคู่ และได้มีการเพิ่มฐานะการลงทุนในบริษัท เทสลา เมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่ง เทสลาเป็นบริษัทเทคโนโลยีทางด้านยานยนต์ มีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นมาก หากมองไปยังบริษัทอื่นๆ ที่มีความใกล้เคียงกันซึ่งมีงบลงทุนสูงในเทคโนโลยีเหมือนกัน แทบจะไม่เห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เทสลาเป็นผู้นำทางด้านรถไฟฟ้า แต่บริษัทเผชิญกับกระแสข่าวความกังวลต่อประธานบริหารบริษัทชื่อว่านายอีลอน มัสก์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าบริษัทอาจจะไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ได้ตรงตามเวลา หรือไม่แน่ใจในแผนการตลาดว่าจะเป็นไปตามที่ได้วางแผนหรือไม่ ทั้งนี้ บริษัท เทสลา ได้เคลียร์ปัญหาดังกล่าว ด้วยการให้นาย มี Robyn Denholm เข้ามาเป็นประธานบริหารแทนแล้ว

ที่มา: Fidelity: FF Global Technology Fund Update Session via Conference Call (4.30pm BKT, 14 Dec 18)

https://arstechnica.com/cars/2018/11/tesla-replaces-elon-musk-as-chair-hell-stay-ceo/

ความเคลื่อนไหวหุ้นเด่นๆ ที่กองทุนหลักเพิ่มน้ำหนักลงทุน

  1. บริษัท NXP Semiconductor สัญชาติเนเธอร์แลนด์ (น้ำหนักลงทุน 3.2%, น้ำหนักดัชนี 0.3%) ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีร่วงลงกว่า -30% กองทุนฟิเดลิตี้ ระบุว่า เกิดจากความผิดหวังต่อดีลของการควบรวมกิจการกับบริษัท Qualcomm ผู้ผลิตชิปใช้ในสมาร์ทโฟนสัญชาติสหรัฐฯ แต่บริษัท NXP ซึ่งในภายหลังได้รับเงินค่า Break-up fee จำนวน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะบริษัท Qualcomm ยกเลิกดีลควบรวมกิจการนั้น ได้ทำชิปให้ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์และ internet of things การที่กองทุนหลักฟิเดลิตี้ ถือครองหุ้นเพิ่ม เพราะมองว่าเป็นบริษัทที่ Defensive ในแง่รายได้สม่ำเสมอ มีรายได้ในไตรมาสสามปีนี้ระดับ 2.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และใกล้เคียงกับสี่ไตรมาสก่อนหน้า มีอัตราความสามารถในการทำกำไรสุทธิระดับ 20.48% ผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้นระดับ 10.14% และระดับมูลค่าหุ้น Attractive P/E 18.2 x
  2. บริษัท BAIDU INC (น้ำหนักลงทุน 3.0%, น้ำหนักดัชนี 0.6%) กองทุนหลักใช้การขายอย่างหนักของตลาดในการหาจังหวะเข้าถือครองเพิ่ม จริงๆ กองทุนหลักเคยถือครองหุ้น BAIDU INC มาหลายปีก่อนและขายไปแล้วเมื่อบรรลุเป้าหมายทางด้านราคา การที่ BAIDU INC ราคาร่วงลงเพราะมีกระแสข่าวว่า GOOGLE INC จะเข้ามาเจาะตลาด Search engine จีน แต่ยังทำไม่สำเร็จ ปัจจุบันหุ้น BAIDU INC มีความน่าสนใจเพราะไม่ได้ทำแค่ค้นหาข้อมูลอย่างเดียว แต่มีการลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคต ถึง 52% ของเงินลงทุน และมีพันธมิตรกับค่ายรถยนต์ยุโรปยี่ห้อดังชื่อวอลโว่ ในการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ
  3. นักวิเคราะห์ฟิเดลิตี้ที่ติดตามบริษัทในกลุ่ม Sub-sector ประเภทเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งกองทุนหลักมีสัดส่วนลงทุน 22.5% กล่าวกับทีมงานผลิตภัณฑ์กองทุนบัวหลวงว่า ยอดขายบริษัทที่ทำชิปหน่วยความจำ (เมมโมรีชิป) ชะลอตัวลงจริง แต่อุปสงค์ต่อชิปประเภทที่ใช้ในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ปัญญาดิษฐ์ สูงขึ้น และเป็นเทรนด์ระยะยาว กองทุนหลักมีฐานะลงทุนในบริษัทที่ทำเซมิคอนดักเตอร์ประเภทเมมโมรีชิปไม่มาก บริษัทในพอร์ตที่ทำชิปสำหรับรถไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ บริษัท INFINION TECHNOLOGIES มีส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งในการเป็นผู้ผลิตชิปที่ใช้กับรถพลังงานไฟฟ้า และมีส่วนแบ่งการตลาด 50% ในโกลบอลชิปเซนเซอร์ป้อนให้กับผู้ผลิตยานยนต์ไร้คนขับ การที่กองทุนหลักถือครองหุ้นของบริษัทนี้เพราะผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ ไม่สามารถผลิตชิปประเภทนี้ใช้ได้เอง เพราะมีราคาแพงมาก ใช้เงินลงทุนสูง
  4. กองทุนหลักยังคง Underweight หุ้นบริษัท Apple INC ต่อไป เนื่องจาก ตลาดของสมาร์ทโฟนมีอัตราการเข้าถึงของผู้ใช้บริการที่สูงอยู่แล้ว แม้บริษัท Apple INC จะมีสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ออกมาเรื่อยๆ มีนวัตกรรมที่ออกมาสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้าในปี 2019-2020 กระนั้นอุปสงค์ต่อสินค้าก็คงไม่ได้แข็งแกร่งนัก ปัจจุบันการนำเสนอสินค้าและบริการที่ครบถ้วน จนทำให้ผู้บริโภคตกไปอยู่ในวังวนของผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกว่า Ecosystem นั้น สำหรับ Apple INC ยังคงมีความเปราะบางอยู่

Performance Attribution

Positive Contributor (YTD – October 2018)

  1. TENCENT (น้ำหนักลงทุน 0%, น้ำหนักดัชนี 2.3%) มีรายได้จากเกมส์ออนไลน์เป็นหลัก กองทุนหลักไม่ได้มีการลงทุนในบริษัทนี้ แม้ธุรกิจเกมส์ออนไลน์เติบโตเด่นก็จริง แต่อัตราการอนุมัติเกมส์ใหม่ๆ ของทางการจีนที่ชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้านั้น ทำให้กองทุนหลักระมัดระวังการเข้าลงทุน หุ้น TENCENT ซึ่งมีการถือครองโดยนักลงทุนรายย่อยค่อนข้างมาก กองทุนหลักสนใจหุ้นบริษัท NETEASE (น้ำหนักลงทุน 2.3%, น้ำหนักดัชนี 0.2%) มากกว่าเพราะมีระดับมูลค่าหุ้นที่ต่ำกว่า มีเงินลงทุนทางด้านการวิจัยพัฒนาสัดส่วนสูง
  2. FACEBOOK (น้ำหนักลงทุน 0%, น้ำหนักดัชนี 4.3%) กองทุนหลักไม่มีการลงทุนในบริษัทโซเชียลมีเดียแห่งนี้เช่นกัน ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะบริษัทเผชิญกับแรงกดดันจากประเด็นทางด้านกฏระเบียบ หลังพบความไม่ปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้บริการที่รั่วไหล หุ้นยังคงซื้อขายในระดับราคา 145 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่เคยขึ้นไปทำสถิติที่ 217 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงกลางปี
  3. RED HAT (น้ำหนักลงทุน 2.5%, น้ำหนักดัชนี 0.40%) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สัญชาติสหรัฐฯ ราคาหุ้นเพิ่ม +46% ในเวลาเพียงข้ามคืนจาก 116 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 26 ต.ค. เป็น 170 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 29 ต.ค. หลังบริษัท IBM ประกาศเจตจำนงในการซื้อกิจการ (M&A) บริษัท Red Hat ด้วยมูลค่า 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ในส่วนของ Hybrid Cloud
  4. ALIBABA GROUP HOLDING LTD (น้ำหนักลงทุน 0%, น้ำหนักดัชนี 1.9%) ตลาดคาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาสถัดไปจะชะลอตัวลงเช่นเดียวกับยักษ์ใหญ่อย่าง AMAZON INC และ GOOGLE INC
  5. DELL TECHNOLOGIES INC (น้ำหนักลงทุน  1.12%, น้ำหนักดัชนี 0.1%) การที่กองทุนหลักลงทุนในบริษัทนี้เพราะ DELL เพิ่งจะเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงของบริษัท VMware (ผ่านทางบริษัท DELL EMC Infrastructure Solution Group อีกที) บริษัท VMware เป็นผู้นำโลกด้านการทำ Server Virtualization, Cloud infrastructure และ Hybrid Cloud Network ธุรกิจดังกล่าวมีอัตราการเข้าถึงอยู่ในระดับต่ำ มีอัตราการเติบโตของรายได้สูงกว่า 10% ต่อปี แม้หุ้นบริษัท VMware มีความน่าสนใจทางด้านธุรกิจ แต่กองทุนหลักเลือกลงทุนใน DELL TECHNOLOGIES INC แทน เพราะมีระดับมูลค่าหุ้น Valuation  P/E 14.3 x ที่ต่ำกว่าบริษัท VMware P/E 20.1 x

การที่กองทุนหลักลงทุนในบริษัท DELL TECHNOLOGIES ถือว่าเป็นกลยุทธ์ลงทุนในเหตุการณ์พิเศษ (Special Situation) หมายถึง เป็นการลงทุนระยะสั้นในบริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างธรรมาภิบาลที่มีความคืบหน้า และจะทยอยลดน้ำหนักลงทุนลงหลังราคาขึ้นมาถึงเป้าหมายที่วางไว้

Negative Contributor (YTD – October 2018)

  1. APPLE INC (น้ำหนักลงทุน  4.4%, น้ำหนักดัชนี 12.7%) แม้กองทุนหลักลงทุนโดยให้น้ำหนักน้อยในบริษัทนี้เมื่อเทียบกับน้ำหนักของดัชนี ส่งผลลบต่อผลการดำเนินงานกองทุน (ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 172 ดอลลาร์สหรัฐ ต้นปีเป็น 212 ดอลลาร์สหรัฐ สิ้นเดือน ต.ค.) แต่ในระยะหลังเพียงสองเดือนครึ่ง ตั้งแต่เดือน พ.ย. ถึงกลางเดือน ธ.ค. หุ้น APPLE INC ร่วงเหลือเพียง 170 ดอลลาร์สหรัฐ หลังเผชิญแรงกดดันจากทางการจีนที่ออกกฏห้ามขายสมาร์ทโฟนรุ่นไอโฟน 6,7, 7 Plus ขึ้นไป เพื่อเป็นการตอบโต้ธุรกิจสหรัฐฯ ภายหลังผู้บริหารระดับสูงของ Huawei ถูกจับกุมตัวในแคนาดา ผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบกับดัชนีของกองทุนหลักจึงดีขึ้นในช่วงท้าย
  2. MICROSOFT CORP (น้ำหนักลงทุน 2.4%, น้ำหนักดัชนี 9.2%) ผู้จัดการกองทุนเล็งเห็นการเข้าซื้อจากนักลงทุนรายย่อยในไตรมาสที่ผ่านมาทำให้คาดการณ์ว่าโอกาสที่บริษัทจะแสวงหาดีลควบรวมกิจการ มีโอกาสเป็นไปได้น้อย
  3. NETEASE INC (น้ำหนักลงทุน 2.3%, น้ำหนักดัชนี 0.2%) ราคาหุ้นร่วงลงหลังเผชิญหลังธุรกิจเกมส์ออนไลน์ถูกทางการจีนออกกฎระเบียบควบคุมจำนวนชั่วโมงที่เด็กนักเรียนนักศึกษาจะสามารถเข้าไปใช้บริการได้ เช่นเดียวกับที่บริษัท TENCENT กองทุนหลักหาจังหวะในช่วงที่ราคาร่วงลงเพิ่มน้ำหนักลงทุนเพราะบริษัทมี e-commerce platform ใหญ่อันดับสองในประเทศจีนที่นักลงทุนยังไม่ให้ความสำคัญนัก และประเมินมูลค่าต่ำไป อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีธุรกิจเกมส์ออนไลน์ที่ยังสร้างเม็ดเงินหลักให้กับบริษัทได้อยู่ 
  4. INFINION TECHNOLOGIES (น้ำหนักลงทุน 2.06%, น้ำหนักดัชนี 0.36%) แม้ราคาหุ้นลดลงตามแรงขายระยะสั้นของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี Sub-sector เซมิคอนดักเตอร์ แต่ในระยะยาวมีโอกาสเติบสูงจากยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ไม่ได้ต้องการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เองเพราะไม่มีความเชี่ยวชาญและต้องใช้เงินลงทุนสูงมากทำให้คาดว่าบริษัทจะมีรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากระดับ 15% เพิ่มเป็น 20% ในระยะเวลาอันใกล้
  5. NAVER CORP (น้ำหนักลงทุน 98%, น้ำหนักดัชนี 0.08%) ทำธุรกิจให้บริการคุยสื่อสารผ่านทางสมาร์ทโฟน ที่นิยมเรียกว่า Line Chat แต่เนื่องจาก Platform ของ Line มีค่าใช้จ่ายสูง อย่างไรก็ตามก็ยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้

คำถามและคำตอบสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน

ถาม: ธีมด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอะไรบ้าง ที่ Fidelity Global Technology มีสัดส่วนลงทุน ณ ปัจจุบัน

ตอบ: ปัจจุบัน ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกจำนวน 59 บริษัท หากจำแนกตามธีมการลงทุน พบมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Big Data 22% Cloud Computing 21% Digital Advertising 14% E-Commerce 12% Artificial Intelligence 10% Internet of Things (IoT) 7% Industry 4.0 ที่ 6% Autonomous Vehicle 5% และ Virtual Reality 3% กองทุนหลักจะปรับการลงทุนอย่างเหมาะสมเพื่อเน้นเฟ้นหาบริษัทที่จะเป็นผู้ชนะในตลาดหรือที่เรียกว่า “Winners of Tomorrow”

ถาม: ปัจจุบันกองทุนหลัก Overweight หุ้น Sub-Sectors กลุ่มไหน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

ตอบ: กองทุนยังมีการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Software และ Internet Company เนื่องจากมองว่าการพัฒนาทางด้าน Software ใหม่ การพัฒนาทางด้าน Artificial Intelligence ที่มีออกมา ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถที่จะนำไปปรับใช้กับการดำเนินงานของบริษัทและช่วยให้สามารถลดต้นทุนของบริษัทลง กระแสของการเติบโตทางด้านเทคโนโลยีส่งผลบวกต่อบริษัทผู้ผลิต Software ต่างๆ ให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

Overweight หุ้น Sub-Sectors ในกลุ่ม

1.Semiconductor & Semi Equipment เช่น Itel, Xilinx (integrated circuits), Lam, Micron

2.Internet Retail เช่น Trip, JD.com, Rakuten (e-commerce in Japan)

3.Internet Software & Services เช่น Google, Baidu, Criteo, Grubhub, Linkedin, Twitter

Underweight หุ้น Sub-Sectors ในกลุ่ม

4.IT Services เช่น Visa, Mastercard, Accenture เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม มีอัตราการเติบโตช้า

5.หุ้นเทคขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ กองทุนหลักชอบหุ้นขนาดกลาง

การที่กองทุนหลัก Overweight หุ้นข้างต้นเนื่องจากบริษัทกลุ่มนี้เติบโตสูงและมีรายได้ที่คาดการณ์ว่าจะได้รับแน่นอน (Recurring Revenue) ในสัดส่วนที่สูง และมีฐานลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการ ไม่เปลี่ยนแปลงขึ้นลง ทำให้ราคากองทุนไม่เหวี่ยงขึ้นลง ทนต่อปัจจัยภายนอกได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวน

กองทุนหลัก (Master Fund)

ชื่อ: Fidelity Funds – Global Technology Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class Y-ACC-USD

นโยบายการลงทุน: เป็นกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลก ที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์กระบวนการหรือบริการ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างสูงจากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี

วันที่จดทะเบียน: 23 กุมภาพันธ์ 2017 (Share class Y-ACC-USD)

ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก

สกุลเงิน: USD

เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI AC World Information Technology (N)

Morningstar Category: Large cap core growth

Bloomberg code: FFGTYAU LX

Fund size: 3,757 Million USD

Number of holdings: 59

*ที่มา Fidelity International ข้อมูลเดือนพ.ย. 2018