Fund Comment ธันวาคม 2561
ภาพรวมตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นไทยในเดือนสุดท้ายของปียังคงเผชิญกับแรงกดดันเช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดย SET Index ปรับตัวลดลงประมาณ 5% ในช่วงเดือนธันวาคม ด้วยแรงกดดันจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน
ด้านปัจจัยภายนอก ประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ได้แก่ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในการประชุมนอกรอบ G20 แม้ว่าทั้งสองประเทศจะตกลงเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมระหว่างกันออกไปจากกำหนดเดิมอีกเป็นระยะเวลา 90 วัน แต่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน เพราะยังมีความไม่แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถหาข้อตกลงการค้าร่วมกันภายในเวลาดังกล่าวได้
ปัจจัยลบอีกประการที่มีเข้ามาในตลาดมากขึ้น ก็คือ ความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2019-2020 หลังจากเศรษฐกิจของหลายประเทศขนาดใหญ่ส่งสัญญาณชะลอตัวลง โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่สะท้อนความกังวลผ่าน ความชันของ Yield Curve ที่ลดลงต่อเนื่องและมีโอกาสเข้าใกล้ภาวะ Inverted ซึ่งมักจะเป็นตัวชี้ถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในอนาคต และทำให้ตลาดมีการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งลง เป็นปัจจัยกดดันให้บรรยากาศของตลาดทุนอยู่ในช่วง ‘เลี่ยงความเสี่ยง (Risk off)’ ซึ่งนอกจากผลที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์อย่างราคาน้ำมันก็ได้รับผลกระทบไปด้วย แม้ในช่วงปลายเดือน Fed ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.25-2.50% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด และส่งสัญญาณที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2019 จากเดิม 3 ครั้งลดลงเหลือ 2 ครั้ง ก็ไม่สามารถบรรเทาความผันผวนของตลาดไว้ได้
สำหรับปัจจัยในประเทศ แม้ว่าผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้าจะมีจำกัด แต่ผลกระทบทางอ้อมนั้นยังไม่แน่นอน และเริ่มเห็นการชะลอตัวของการส่งออกจากไทยไปจีน ส่วนนโยบายการเงินของไทย ได้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.75% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ด้านแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยนั้นถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่ลดลงและการชะลอลงของการใช้จ่ายในประเทศ แม้จะมีปัจจัยบวก อาทิเช่น กนง.ได้ประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 4.0% ขับเคลื่อนโดยแรงหนุนในประเทศเป็นหลัก จากการบริโภคและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งยังมีแนวโน้มที่ดี ส่วนการเลือกตั้งในประเทศที่ทางรัฐบาลกำหนดจะให้มีขึ้นในต้นปี 2019 ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนไทยได้เท่าที่ควร
แนวโน้มภาวะตลาดหุ้นในปี 2019
นับเป็นอีกปีที่ท้าทายสำหรับการลงทุน ด้วยความที่ตลาดหุ้นยังค่อนข้างหวั่นไหวกับปัจจัยลบที่มีเข้ามา ในทางกลับกัน ตลาดกลับยังไม่ค่อยตอบสนองต่อปัจจัยบวกเท่าใดนัก สะท้อนถึงภาวะตลาดหมีของตลาดหุ้นที่ยังคงดำเนินต่อไป การปรับตัวลดลงแรงในช่วงปลายปี 2018 ทำให้ระดับ P/E ของตลาดหุ้นไทยในปี 2019 ลดลงมาอยู่ที่ 13-14 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และอาจจะมีการฟื้นตัวบ้างในระยะสั้น แต่เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทที่ชะลอลง ที่ Valuation ระดับนี้อาจจะยังไม่ต่ำพอที่จะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนระยะยาวได้มากพอ เมื่อเทียบกับความเสี่ยงจากหลายด้านที่ยังมีอยู่ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก (ซึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือน และยังไม่มีสัญญาณถึงจุดต่ำสุด) การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ความราบรื่นของการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรในเดือนมีนาคม รวมถึง เสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งไทย
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของตลาดหุ้น จะเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นได้ถ้าหากมูลค่าของกิจการเริ่มอยู่ในระดับที่น่าสนใจมากพอ เราจึงเชื่อว่า โอกาสการลงทุนในปีนี้จะยังคงมีอยู่ โดยต้องอาศัยความระมัดระวังในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนมากเป็นพิเศษ
Fund Comment
Fund Comment ภาพรวมตลาดหุ้น ธันวาคม 2018
Fund Comment ธันวาคม 2561
ภาพรวมตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นไทยในเดือนสุดท้ายของปียังคงเผชิญกับแรงกดดันเช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดย SET Index ปรับตัวลดลงประมาณ 5% ในช่วงเดือนธันวาคม ด้วยแรงกดดันจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน
ด้านปัจจัยภายนอก ประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ได้แก่ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในการประชุมนอกรอบ G20 แม้ว่าทั้งสองประเทศจะตกลงเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมระหว่างกันออกไปจากกำหนดเดิมอีกเป็นระยะเวลา 90 วัน แต่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน เพราะยังมีความไม่แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถหาข้อตกลงการค้าร่วมกันภายในเวลาดังกล่าวได้
ปัจจัยลบอีกประการที่มีเข้ามาในตลาดมากขึ้น ก็คือ ความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2019-2020 หลังจากเศรษฐกิจของหลายประเทศขนาดใหญ่ส่งสัญญาณชะลอตัวลง โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่สะท้อนความกังวลผ่าน ความชันของ Yield Curve ที่ลดลงต่อเนื่องและมีโอกาสเข้าใกล้ภาวะ Inverted ซึ่งมักจะเป็นตัวชี้ถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในอนาคต และทำให้ตลาดมีการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งลง เป็นปัจจัยกดดันให้บรรยากาศของตลาดทุนอยู่ในช่วง ‘เลี่ยงความเสี่ยง (Risk off)’ ซึ่งนอกจากผลที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์อย่างราคาน้ำมันก็ได้รับผลกระทบไปด้วย แม้ในช่วงปลายเดือน Fed ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.25-2.50% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด และส่งสัญญาณที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2019 จากเดิม 3 ครั้งลดลงเหลือ 2 ครั้ง ก็ไม่สามารถบรรเทาความผันผวนของตลาดไว้ได้
สำหรับปัจจัยในประเทศ แม้ว่าผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้าจะมีจำกัด แต่ผลกระทบทางอ้อมนั้นยังไม่แน่นอน และเริ่มเห็นการชะลอตัวของการส่งออกจากไทยไปจีน ส่วนนโยบายการเงินของไทย ได้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.75% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ด้านแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยนั้นถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่ลดลงและการชะลอลงของการใช้จ่ายในประเทศ แม้จะมีปัจจัยบวก อาทิเช่น กนง.ได้ประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 4.0% ขับเคลื่อนโดยแรงหนุนในประเทศเป็นหลัก จากการบริโภคและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งยังมีแนวโน้มที่ดี ส่วนการเลือกตั้งในประเทศที่ทางรัฐบาลกำหนดจะให้มีขึ้นในต้นปี 2019 ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนไทยได้เท่าที่ควร
แนวโน้มภาวะตลาดหุ้นในปี 2019
นับเป็นอีกปีที่ท้าทายสำหรับการลงทุน ด้วยความที่ตลาดหุ้นยังค่อนข้างหวั่นไหวกับปัจจัยลบที่มีเข้ามา ในทางกลับกัน ตลาดกลับยังไม่ค่อยตอบสนองต่อปัจจัยบวกเท่าใดนัก สะท้อนถึงภาวะตลาดหมีของตลาดหุ้นที่ยังคงดำเนินต่อไป การปรับตัวลดลงแรงในช่วงปลายปี 2018 ทำให้ระดับ P/E ของตลาดหุ้นไทยในปี 2019 ลดลงมาอยู่ที่ 13-14 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และอาจจะมีการฟื้นตัวบ้างในระยะสั้น แต่เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทที่ชะลอลง ที่ Valuation ระดับนี้อาจจะยังไม่ต่ำพอที่จะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนระยะยาวได้มากพอ เมื่อเทียบกับความเสี่ยงจากหลายด้านที่ยังมีอยู่ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก (ซึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือน และยังไม่มีสัญญาณถึงจุดต่ำสุด) การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ความราบรื่นของการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรในเดือนมีนาคม รวมถึง เสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งไทย
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของตลาดหุ้น จะเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นได้ถ้าหากมูลค่าของกิจการเริ่มอยู่ในระดับที่น่าสนใจมากพอ เราจึงเชื่อว่า โอกาสการลงทุนในปีนี้จะยังคงมีอยู่ โดยต้องอาศัยความระมัดระวังในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนมากเป็นพิเศษ