Product Update : BCARE/BCARERMF

Product Update : BCARE/BCARERMF

กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE)

กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCARERMF)

Key points : A golden era for scientific breakthroughs.

สรุปผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก

ภาวะตลาดโกลบอลเฮลธ์แคร์ช่วงไตรมาสล่าสุด 4Q2018 เมื่อวัดจากดัชนี MSCI World Healthcare Net -9.4% ลดลงตามภาวะตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ที่ร่วงลง -15.01% ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ด้านกองทุนหลักสร้างผลตอบแทนในไตรมาสดังกล่าว -16.5% ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานเพราะหุ้นที่กองทุนหลักถือครองในกลุ่มบริษัทยาไบโอเทคขนาดกลางและขนาดเล็กราคาลดลงแรงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ (กองทุนมีน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว 33% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานมีน้ำหนักหุ้นในกลุ่มนี้เพียง 5%ในการคำนวนดัชนี) นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มอื่นที่กองทุนหลักถือครอง อาทิ กลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์และกลุ่มผู้ให้บริการทางการแพทย์ราคาก็ลดลงเช่นกัน (กองทุนหลักถือครองหุ้นกลุ่มนี้ประมาณ 45% ของพอร์ต)

Performance Attribution in 4Q2018

Negative contributors (1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 2018)

  1. Allergan (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 2.50% ราคาหุ้นสิ้นไตรมาส 4Q2018 ลดลง -29.9%) เป็นบริษัทในกลุ่ม Major Pharmaceutical ราคาหุ้นลดลงมากกว่าดัชนีเพราะบริษัทประกาศถอนธุรกิจเต้านมเทียมในยุโรป หลังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าขั้นตอนการรักษาอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งในกระแสเลือดกับผู้ป่วย รายได้ในไตรมาส 3Q18 จากยาที่เพิ่มความเคลื่อนไหวในระบบทางเดินอาหารประกาศออกมาน้อยกว่าที่นักลงทุนคาดไว้ เหตุจากราคายาที่ลดลง ทำให้เกิดกระแสเชิงลบท้าทายการดำเนินธุรกิจว่า ไม่สามารถกระจายธุรกิจไปแสวงหารายได้ยังหมวดอื่นได้ นอกจากธุรกิจด้านความสวยความงามสำหรับสุภาพสตรีเท่านั้น
  2. Eisai Co. (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 2.26% ราคาหุ้นสิ้นไตรมาส 4Q2018 ลดลง -20.4%) เป็นบริษัทในกลุ่ม Special Pharmaceutical/Biotechnology สัญชาติญี่ปุ่นทำธุรกิจในกลุ่มวิจัยยารักษาโรคอัลไซเมอร์ ราคาหุ้นลดลงเพราะตลาดคาดหวังว่าไตรมาสสี่จะมีความคืบหน้าด้านผลการทดลองใหม่ๆ ประกาศออกต่อจากไตรมาสสาม ความคืบหน้าด้านการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่อยาที่ใช้รักษาอัลไซเมอร์ (รหัสทางการแพทย์ BAN 2401) คาดว่าจะขาดปัจจัยกระตุ้นไปอีก 12 เดือนข้างหน้า ประกอบกับเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบเยน ส่งผลต่อยอดขายที่แปลงกลับมาเป็นเงินเยนญี่ปุ่นที่ลดลง
  3. Alkermes (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 1.40% ราคาหุ้นสิ้นไตรมาส 4Q2018 ลดลง-30.46%) เป็นบริษัทในกลุ่ม Special Pharmaceutical/Biotechnology ทำธุรกิจรักษาอาการทางระบบประสาท รักษาพฤติกรรมการทำงานของประสาท หรือที่เรียกว่า Neuroscience ราคาหุ้นลดลงหลังองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) โหวตไม่อนุมัติยากดประสาทที่ใช้รหัสว่า ALKS 5461 แม้บริษัท จะประกาศผลการทดลองเชิงบวกสำหรับยาที่ใช้รักษาโรคกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางความคิด/การรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง (รหัสทางการแพทย์ ALKS 3831) แต่ตลาดก็ยังเคลือบแคลงใจต่อโอกาสเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่กองทุนหลักชื่นชอบหุ้นตัวนี้เนื่องจากบริษัทมีเครือข่ายช่องทางการขายที่แข็งแกร่ง บริษัทครอบครองสิทธิบัตรจาก FDA โดยใช้ชื่อว่า “Naltrexone” ตัวยาดังกล่าวซึ่งยังเหลืออายุสิทธิบัตรอีกหลายปี คาดว่าสร้างยอดขายให้บริษัทได้เป็นอย่างดี

Positive contributors (1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 2018) 

  1. Tesaro (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 0.0% ราคาหุ้นสิ้นไตรมาส 4Q18 เพิ่มขึ้น +88.71%) เป็นบริษัทในกลุ่ม Biopharmaceutical ทำธุรกิจยารักษามะเร็ง กองทุนหลักขายทำกำไรหลังจากช่วงต้นเดือน ธ.ค. บริษัทบรรลุข้อตกลงควบควมกิจการกับบริษัท GlaxoSmithKline ดีลดังกล่าวมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าตลาด ณ ปัจจุบันของบริษัท ราคาหุ้นจึงพุ่งขึ้นถึง +88.71% อย่างมาก
  2. Eli Lilly (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 2.53% ราคาหุ้นสิ้นไตรมาส 4Q18 เพิ่มขึ้น +8.3%) เป็นบริษัทในกลุ่ม Major pharmaceutical บริษัทได้เปิดเผยผลการทดลองเฟส-2 ของยารักษาเบาหวาน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพต่อการลดปริมาณกลูโคสในกระแสเลือดนำไปสู่มวลน้ำหนักที่ลดลงของกลุ่มอาสาสมัครทดลอง อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนในวงการแพทย์ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่ายา GLP-1 ซึ่งมีมูลค่าสูงหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น จะทำให้บริษัทก้าวเป็นเบอร์หนึ่งทางด้านนี้ และช่วงปลายปีผู้บริหารบริษัทออกมาแถลงรายละเอียดต่อทิศทางธุรกิจปีหน้า 2019 ซึ่งพบว่าเหนือกว่าความคาดหมายของตลาดมาก
  3. Ra Pharmaceutical (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 0.91% ราคาหุ้นสิ้นไตรมาส 4Q18 เพิ่มขึ้น 1.9%) เป็นบริษัทในกลุ่ม Biopharmaceutical บริษัทประกาศผลการทำลองทางวิทยาศาสตร์เฟส-2 โรคต่อมหมวกไต คาดว่าหากผ่านเฟส-3 แล้วจะช่วลดภาระทางการเงินให้บริษัทได้

*ข้อมูลพอร์ตและราคาหุ้น ณ สิ้นเดือน ธ.ค.2018

ปัจจัยบวกและลบต่อหุ้นกลุ่มโกลบอลเฮลธ์แคร์

(+) ผลลัพธ์การทดลองยาเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ในเฟสสุดท้ายกำลังจะปะทุในอีก 12-24 เดือนข้างหน้าจำนวนหลายตัวยา อาทิ ยารักษาโรคอัลไซเมอร์ มะเร็ง ผลลัพธ์ที่ว่านี้จะทำให้บริษัทผู้วิจัยยาไบโอเทคที่วิจัยยามาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี สามารถทำตลาดในเชิงพาณิชย์ได้ จึงสร้างรายได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯต่อหนึ่งตัวยาที่อนุญาตให้ใช้ได้

คำอธิบายตัวย่อทางการแพทย์

BACE หมายถึง โมเดลที่ใช้รักษาอัลไซเมอร์ได้สำเร็จโดยลดการผลิต amyloid beta ภายในสัตว์ลง

TAU หมายถึง แอนตี้บอดี้

Amyloid-beta หมายถึง กรดอะมิโนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของคราบแอมีลอยด์ พบได้ในโรคสมองเสื่อมบางชนิด เช่น Lewy body dementia

RNAi หมายถึง กระบวนการในการควบคุมการแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งพบทั้งในพืช สัตว์ และมนุษย์

mRNA หมายถึง การเรียงลำดับของนิวคลีโอไทด์ที่ Complement กับข้อมูลทางพันธุกรรมที่บริเวณจำเพาะของ DNA ในส่วนที่เป็นยีนส์

RPE65 หมายถึง ยีนส์ที่จำเป็นต่อการมองเห็นปกติ

DMD หมายถึง โรคกล้ามเนื้อเจริญผิดเพี้ยน

TTR หมายถึง การตรวจประเมินโปรตีนและลิ่มเลือด

XLH หมายถึง ภาวะฟอสเฟตในเลือดต่ำทางพันธุกรรมที่พบได้ยาก ผู้ป่วยมีการขับถ่ายฟอสเฟตออกทางปัสสาวะปริมาณมาก สาเหตุมาจากการกลายพันธุ์ของยีน

Source: Wellington Management, January 2019

(+) ประชากรสูงวัยทั่วโลกเข้าสู่จุดพลิกผันที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงรายได้บริษัท (Tipping points) อาทิ ประชากรญี่ปุ่นจะมีสัดส่วนคนสูงวัยแตะ 35% ของประชากร ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายเฮลธ์แคร์สหรัฐ เทียบจีดีพีแตะระดับสูงที่ 17.5% เพราะชาวอเมริกันได้เข้าถึงประกันสุขภาพแบบที่ประสงค์จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อสิทธิคุ้มครองให้ที่ดีขึ้นกว่าสวัสดิการผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ภาครัฐ หรือที่เรียกกันว่าเมดิแคร์

(+) ผู้บริหารกองทุนหลัก (Lead portfolio managers) ซึ่งมีประสบการณ์บริหารหุ้นเฮลธ์แคร์มาตลอด 28 ปีกล่าวว่าไม่เคยเจอช่วงเวลาไหนที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้มาก่อนสร้างความตื่นเต้นให้กับทีมงานโกลบอลเฮลธ์แคร์มาก

(+) ผลเลือกตั้ง Mid-term election สหรัฐฯเป็นไปตามโพลที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนเลือกตั้ง การคานอำนาจของสองขั้วการเมืองทำให้การออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมราคายากระทำยากขึ้น และช่วยให้การดำเนินธุรกิจมีความธรรมาภิบาลโปร่งใสขึ้น

หมายเหตุ: ผลเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ ในวันที่ 6 พ.ย.

วุฒิสภา -> พรรครีพลับลิกัน 51 ที่นั่ง: พรรคเดโมแครต 47 ที่นั่ง

สภาผู้แทน ->  พรรครีพลับลิกัน 198 ที่นั่ง: พรรคเดโมแครต 227 ที่นั่ง

กล่าวสรุป พรรครีพลับลิกันได้เสียงวุฒิสภาเพิ่มขึ้น 1 ที่นั่ง / ขณะที่พรรคเดโมแครตได้ส่วนแบ่งสภาผู้แทนเพิ่มขึ้นมากถึง 32 ที่นั่ง

(+) คนไข้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังได้รับการรักษาที่ยาวนานขึ้น มีอายุขัยมากขึ้น

(+) โอกาสของเฮลธ์แคร์ในตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะจีนที่มีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนายาไบโอเทคสูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐ และความต่อเนื่องของนวัตกรรมด้านการวินิจฉัย ป้องกัน รักษาโรค

(+/-) ระดับ Valuation หุ้นเมื่อวัดจากดัชนี MSCI World Healthcare ในภาพรวมอาจจะดูเหมาะสมเมื่อวัดจากการประเมินมูลค่าหุ้นที่ใช้กันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการหามูลค่าหุ้นด้วยวิธีมูลค่าปัจจุบันของเงินปันผล DDM (Divident discount model) หรือมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับ FCF (Free cash flow method) แต่อย่าลืมว่าหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์มีลักษณะเฉพาะเพราะไม่สามารถประเมินมูลค่าหุ้นด้วยโมเดลดั้งเดิม บริษัทในกลุ่มวิจัยทดลองยาไบโอเทค ยังไม่สร้างรายได้เพราะอยู่ในระยะวิจัยทดลอง ผู้จัดการกองทุนประเมินมูลค่าหุ้นด้วยโมเดลพื้นฐานของความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific data)

คำถามและคำตอบสำคัญสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน 

  1. กองทุนหลักจะมีการปรับพอร์ตหรือวางพอร์ตอย่างไร เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนี (อัลฟ่า) ในปีนี้หลังผลการดำเนินงานต่ำกว่าดัชนีในไตรมาสที่ผ่านมา?
    • มั่นใจ ว่าราคาหุ้นที่ร่วงลงช่วงปลายปี 2018 จะทำให้พอร์ตที่วางไว้มีทั้ง Total return และ Alpha ในปีนี้ การถือครองบริษัทในพอร์ตลงทุนนั้นเน้นความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นหลัก
  2. จีนจะกีดกันคู่แข่งต่างชาติที่ต้องการการเข้ามาเจาะตลาดในประเทศหรือไม่และการที่รัฐบาลปักกิ่งควบคุมโครงสร้างราคายาจะส่งผลอย่างไร?
    • จีนกีดกัน เพราะต้องการเป็นเจ้าตลาดในประเทศตนเองไม่เฉพาะทางด้านเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ก็เช่นกัน บริษัทสัญชาติสหรัฐ เช่น Intruda ซึ่งมีตัวยารักษาการผ่าเหล่าของเซลล์มะเร็ง บริษัทไบโอเทคจีนทื่ชื่อว่า Beigine ก็สามารถผลิตยาประเภทเดียวกันได้เช่นกันและได้รับการอนุมัติจาก FDA ของจีนด้วย ดังนั้นการแข่งขันจึงสูงขึ้นแน่นอน การที่มียาในตลาดจีนมากขึ้นจึงเป็นการยากต่อบริษัทข้ามชาติเพราะบริษัทยาในประเทศย่อมได้เปรียบจากเงินช่วยเหลือผู้ป่วยที่ใช้สวัสดิการภาครัฐ

กลยุทธ์ของ Wellington Global Health Care Equity Portfolio

เน้นการเติบโตของเงินลงทุนผ่านการลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่ทำธุรกิจทางด้านเฮลธ์แคร์ ด้วยการลงทุนที่หลากหลายทั้งในธุรกิจย่อย (Sub-Sector) มูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ลงทุน และภูมิภาคต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วโลก

กองทุนหลัก (Master Fund) ชื่อ: Wellington Global Health Care Equity Portfolio ชนิดหน่วยลงทุน Class S (Accum-USD)

วัตถุประสงค์การลงทุน: แสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ทั่วโลก

Investment style: คัดสรรหุ้นรายตัวแบบ Bottom up ด้วยปัจจัยพื้นฐาน /เน้นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการแข็งแกร่ง

วันจดทะเบียน: October 2003

ประเทศที่จดทะเบียน: ไอร์แลนด์

สกุลเงิน: USD

เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI World Healthcare Net

Morningstar Category: Large cap growth

Bloomberg (A): WGHCEPA ID

Fund Size: USD 2.0 billion

NAV: USD 52.10

Number of holdings: 138

ข่าวความเคลื่อนไหวที่น่าติดตามของหุ้นกลุ่มโกลบอลเฮลธ์แคร์

“บริษัทผลิตยาสัญชาติสหรัฐฯชื่อ Bristol-Myers Squibb (หุ้นถือครองอันดับ 3 ของพอร์ตWellington Global HC) ประกาศควบรวมกิจการกับบริษัทผลิตยาสัญชาติสหรัฐฯชื่อ Celgene (กองทุนหลักไม่มีการถือครอง)” ด้วยดีลมูลค่า 74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

Source: https://www.cnbc.com/2019/01/03/bristol-myers-squibb-shares-fall-on-74-billion-celgene-acquisition.html

Wellington มองว่าดีลนี้ยังไม่จบง่ายๆ ต้องติดตามสถานการณ์ต่อ โดยปัจจุบัน

  1. พอร์ตกองทุนหลัก Wellington Global Healthcare Equity เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2018 ถือครองบริษัท Bristol-Myers Squibb ตัวย่อหุ้น BMY ในสัดส่วน 3.1% (เกณฑ์มาตรฐาน MSCI World Healthcare Index มีน้ำหนัก BMY อยู่ 1.7%)
    • สาเหตุที่กองทุนหลัก Overweight เนื่องจากชื่นชอบบริษัทนี้ มีมุมมองว่าตลาดให้ค่าน้อยเกินไปกับมูลค่ากิจการยาและแผนธุรกิจในอนาคต เมื่อคำนวณมูลค่าตลาดยา ณ ปัจจุบันของ BMY ถือว่าหุ้นมีราคาตลาดต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
  2. พอร์ตกองทุนหลักไม่มีการถือครองหุ้น Celgene (เกณฑ์มาตรฐาน MSCI World healthcare index มีน้ำหนักบริษัท Celgene อยู่ 1.0%)
    • สาเหตุที่ Underweight เพราะยาประเภทที่มีสิทธิบัตรของบริษัท Celgene กำลังเข้าสู่ช่วงหมดอายุ (ราคาหุ้นบริษัท Celgene ร่วงลง -37% ในปี 2018 และพุ่งขึ้นหลังข่าว)
  3. กองทุนหลักเชื่อว่าดีลการควบรวมกิจการระหว่างสองบริษัทนี้ เป็นไปได้สองแนวทาง คือ
    • 3.1) หากดีลควบรวมเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ จะเพิ่มกำไรต่อหุ้น (EPS) ให้กับกิจการใหม่ (BMY+Celgene) หลังการควบรวมกิจการเพราะบริษัท Celgene มียา Blockbuster อยู่ในพอร์ต ตัวยานี้ชื่อว่า Revlimid ปัจจุบันสร้างรายได้ที่ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีให้กับบริษัท
    • 3.2) ขณะที่บริษัท BMY มียารักษามะเร็ง Immunology จึงช่วยเสริมทัพให้กับกิจการหลังควบรวม คาดว่าดีลนี้หักกลบลบต้นทุนที่ใช้ไปแล้ว จะเริ่มสร้างมูลค่าให้กับกิจการหลังควบรวม (Synergy) หลังจากปี 2022 เป็นต้นไป
    • 3.3) ในมุมมองของกองทุนหลักในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท BMY ด้วยนั้น มองว่าดีลนี้ยังไม่จบและมีความเป็นไปได้ต่อไปอีกถึง สามแนวทางคือ
      • 3.3.1) แผนการควบรวมอาจจะเป็นไปตามที่บริษัท BMY แจ้งนักลงทุนทราบ
      • 3.3.2) แผนการควบรวมอาจจะไม่ผ่านมติของผู้ถือหุ้นในปีนี้
      • 3.3.3) บริษัท BMY อาจจะตกเป็นเป้าหมายควบรวมกิจการจากบริษัทอื่นอีกที

“บริษัท Eli Lilly & Co (หุ้นอันดับ 5 น้ำหนักลงทุน 2.5% ในพอร์ตกองทุนหลัก BCARE) แจ้งซื้อกิจการบริษัท LoXo Oncology (หุ้นอันดับ 90 น้ำหนักลงทุน 0.84% ในพอร์ตกองทุนหลักBCARE) ด้วยเงินมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะ Eli Lilly ต้องการสินทรัพย์ที่มีมูลค่าตัวนึงซึ่งก็คือยารักษามะเร็งของบริษัท LoXo Oncology ที่ชื่อว่า Larotrectinib”

บริษัท Eli Lilly & Co เสนอ Tender offer ด้วยเงินสดเพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท Loxo Oncology ในราคา 235 $/หุ้น คิดเป็นเงินจำนวน 8 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการ Best in class ของการรักษามะเร็งที่เกิดจากการผิดปกติของยีนส์เพียงตัวเดียวในร่างการมนุษย์

Source: http://www.pharmatimes.com/news/eli_lilly_to_buy_loxo_oncology_for_$8_billion_1274254

ข้อมูลบริษัท LoXo Oncology

  • เพิ่งจะเข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค ได้เพียง 3 ปี
  • สร้างชื่อเสียงในวงการแพทย์เนื่องจากจากมียาวิทยาศาสตร์ระยะทดลอง (Clinical Trial) หลายตัวที่ให้ผลลัพธ์เชิงบวก
  • อาทิ ยาที่ชื่อว่า Larotrectinib เป็นยารักษามะเร็งที่เกิดจากยีนส์ผ่าเหล่าหรือผิดปกติของยีนส์เพียงตัวเดียวในวงการแพทย์เรียกยีนส์ชนิดนี้ว่า TRK Fusion โดยเป็นยีนส์ที่ไม่สนว่าเนื้อร้ายในร่างกายคนจะเริ่มเกิดขึ้นจากจุดใด ปัจจุบันมะเร็งบนโลกกว่า 17 ชนิดเกิดขึ้นจากการผ่าเหล่าของยีนส์ชนิดนี้
  • ยาที่ชื่อว่า LOXO-292 รักษาการผ่าเหล่าของยีนส์ที่พบได้น้อย ยาตัวนี้มียอดขายปีละ 1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (หรือปีละ 3.2 หมื่นล้านบาท)

ราคาหุ้น Eli Lilly (+1%) ราคาหุ้น Loxo (+68%) ในเวลาเพียงไม่กี่วัน