สรุปประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจอินเดีย
ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการซึ่งได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2019 ส่งผลให้พรรค BJP (Bharatiya Janata Party) ของนายนเรนทรา โมดิ รวบรวมเสียงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้อีกสมัย โดยเสียงที่เขารวบรวมในสภาล่าง (Lok Sabha) นั้นได้สมาชิกรวมทั้งสิ้น 350 เสียงจากทั้งหมด 543 เสียง คิดเป็นสัดส่วน 56% ตัวเลขดังกล่าว นอกจากจะสูงกว่า ผลสำรวจก่อนการเลือกตั้งแล้ว ยังสูงกว่าตัวเลขที่แกนนำร่วมรัฐบาล(NDA: National Democratic Alliance) ที่นำโดยพรรค BJP เคยได้รับในปี 2014 ในครั้งนั้นพรรค BJP ซึ่งเป็นสมาชิกหลักของแกนนำร่วมรัฐบาล รวบรวมเสียงได้เพียง 336 เสียง คิดเป็นสัดส่วน 52% (เทียบกับ 56% ในปีนี้) และหากนับเฉพาะคะแนนเสียงที่พรรค BJP ได้รับโดยลำพัง (Standalone) แล้วถือว่าเพิ่มขึ้นเป็น 303 เสียง จากเดิม 282 เสียง
ตาราง แสดงคะแนนเสียงที่เพิ่มขึ้นในสมัยที่สองของการบริหารประเทศนำโดยพรรค BJP ที่มีนายนเรทนา โมดิ เป็นผู้นำพรรค
Source: Lok Sabha, Election Commission of India
แม้ผลเลือกตั้งจะออกมาในเชิงบวก คนอินเดียส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าโครงสร้างการเมืองอินเดียไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเนื่องจาก
- พรรค BJP ไม่ได้ครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาสูงหรือที่เรียกว่า Raija Sabha เช่นเคย ปัจจุบันพรรค BJP มีเสียง 71 จาก 244 ที่นั่ง คิดเป็นสัดส่วน 29% ในสภาสูง
- แม้ประเทศอินเดียจะประกอบไปด้วยสหพันธรัฐจำนวน 29 รัฐ (มลรัฐ/รัฐบาลท้องถิ่น) คล้ายกับประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ แต่อำนาจส่วนที่นอกเหนือจากรัฐสภายังคงเป็นของมลรัฐ (State list) ซึ่งมีบทบาทไม่เป็นสองรองจากศูนย์กลาง (Union list) รัฐแต่ละรัฐจะมีธรรมนูญหรือกฏหมายบัญญัติของรัฐขึ้นมาใช้เองจำนวนมาก เช่น ภาษีรายได้ภาคการเกษตร ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การค้าการพาณิชย์ระหว่างรัฐ ขณะที่รัฐบาลกลางจะดูแลในเรื่องสำคัญๆ เช่น ภาษีรายได้นอกภาคการเกษตร ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้ภาคบริการ ระบบราง เป็นต้น ดังนั้นการตัดสินใจทางด้านเศรษฐกิจ สังคม กฏระเบียบและมาตรการ ยังคงอยู่ในมือของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันพรรค BJP และพันธมิตรของพรรค BJP มีอำนาจควบคุมอยู่ 16 รัฐจากทั้งหมด 29 รัฐ
ตาราง แสดงส่วนงานที่ตัดสินใจเรื่องเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอินเดีย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ตลาดคาดหวังต่อรัฐบาลชุดนี้ คือ
1. พลิกฟื้นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เร่งตัวผ่านการการใช้มาตรการทางการคลังเข้ามากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยตรง เนื่องจากฐานะการคลังมีข้อจำกัดด้วยเหตุที่จัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อยและยังมีภาระขาดดุลการคลัง (Fiscal Deficit) อยู่ จึงไม่อาจใช้นโยบายการคลังแบบปูพรมให้กับทุกภาคส่วนได้
2. คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 100bp ผ่านความร่วมมือจากธนาคารกลาง (RBI)
3. สานต่อแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ การทบทวนธุรกิจที่อยู่ในหน่วยงานบริการสาธารณะหรือรัฐถือครองทรัพย์สิน เพื่อที่จะโอนมาเป็นของเอกชน เป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศ
ด้านตลาดหุ้นอินเดีย ดัชนี Nifty 50 ซื้อขายที่ระดับมูลค่าวัดจากราคาตลาดของบริษัทจดทะเบียนเทียบกับกำไรสุทธิ หรือ 12 Months FW Price-to-earnings ratio 18.1 x บนมุมมองต่ออัตรากำไรสุทธิที่เติบโต 24% ในปี FY2020 โดยยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ระดับ 15.7 x และค่อนข้างตึงตัวเมื่อเทียบกับส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ดังกราฟ
กราฟ แสดงระดับมูลค่า (Valuation) เมื่อวัดจากดัชนีตลาด เทียบกับกำไรสุทธิที่คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะทำได้ในอีก 1 ปีข้างหน้า (1 Year FW Price-to-Earnings Ratio) ซึ่งเป็นเส้นสีแดง และเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวซึ่งเป็นเส้นสีดำ
กราฟ แสดงระดับมูลค่า (Valuation) ตลาดหุ้นอินเดีย โดยเทียบส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น กับผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอินเดีย
ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีนี้คาดว่า กำไรสุทธิในกลุ่มธนาคารซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 30% ของดัชนีจะฟื้นตัวแรง จากการตั้งสำรองหนี้สูญที่ลดลง สะท้อนอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) การฟื้นตัวของกลุ่มธนาคารไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการฟื้นตัวระดับเศรษฐกิจประเทศเท่าไรนัก ขณะที่ภาคสินเชื่อตลาดคาดว่าจะทรงตัว ยอดขายรถยนต์คาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นราคาหุ้นอยู่ในระดับแพงโดยมีค่าเฉลี่ยของราคาตลาดเทียบกับกำไรสุทธิ (12-m forward Price-to-earnings ratio) 40-50 x
อัตราเงินเฟ้อ (CPI Inflation) ครึ่งปีแรก 1HFY20 คาดว่าจะลดลง 30 bps อยู่ที่ 2.9%-3.0% และครึ่งปีหลัง 2HFY20 คาดว่าอยู่ที่ 3.5%-3.8% ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวทำให้คาดว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps ในการประชุมเดือนมิ.ย.หรือส.ค. 2019 เงินเฟ้อที่ค่อนข้างต่ำและอยู่ในกรอบล่างของนโยบายเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่น้อย การลดลงของปริมาณผลผลิตเทียบกับกำลังการผลิตสูงสุด และราคาน้ำมันทรงตัว
แนวทางการปรับพอร์ตในเดือน เม.ย.
(ขาย) หุ้นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มไอที และเฮลธ์แคร์ ทยอยขายหุ้นบริษัทในกลุ่มบันเทิง เช่น Inox Leisure และกลุ่มสายการบิน เช่น Spice Jet บางส่วน
(ซื้อ) หุ้นบริษัทในกลุ่มพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถนน รถไฟ สะพาน เขื่อน เช่น NCC Ltd.
ตาราง 1: แสดงการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนหุ้นในพอร์ตจำแนกตามมูลค่าตลาดของบริษัทจดทะเบียนของกองทุนหลัก Reliance India Equity Portfolio Fund ตั้งแต่กลางปีที่แล้วถึงปัจจุบัน
ตาราง 2: แสดงรายชื่อหลักทรัพย์ลงทุน 10 อันดับแรกของกองทุนหลัก Reliance India Equity Portfolio
กองทุนหลัก (Master Fund)
ชื่อ: RAMS Equities Portfolio Fund – India Equities Portfolio Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class I (USD)
นโยบายการลงทุน: มุ่งหาผลตอบแทนจากการเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนในระยะยาวผ่านการลงทุนในตราสารทุนและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัทที่จัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจในอินเดีย โดยจะลงทุนในตลาดอินเดียไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของ NAV)
วันที่จดทะเบียน: 17 พฤษภาคม 2016
ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก
สกุลเงิน: USD
เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI INDIA USD
Morningstar Category: Large cap blend
Bloomberg code: RAMUSDI LX
Fund size: USD 192.1 Million
Number of holdings: 46
*ที่มา: Reliance Asset Management (Singapore) Pte Ltd ข้อมูลเดือน เม.ย. 2019
ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง (ข้อมูล วันที่ 30 เมษายน 2019)