วัตถุประสงค์การลงทุน
กระจายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในหลักทรัพย์ดังต่อไปนี้ ตราสารหนี้ และ/หรือ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารทุน หน่วยลงทุนของกองทุนรวม เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) เป็นต้น หน่วยลงทุนของกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ ในสัดส่วน 60% ของ NAV เงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนใน Derivatives และ/หรือ Structured Note ในสัดส่วน 0-100% ของ NAV และสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 79% ของ NAV ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่คาดหวังให้เงินลงทุนระยะยาวได้ผลตอบแทนที่ดีจากหุ้นและตราสารหนี้ โดยรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง
Bloomberg (A): BINCOME TB
Fund Size: 5,942 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พ.ค. 2019)
Morningstar Category: Aggressive Allocation
สรุปภาพรวมตลาดตราสารทุนไทย ม.ค. – พ.ค. 2019
ตลาดหุ้นไทยเปิดปี 2019 ด้วยความสดใส ตามตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้นจากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดี ประกอบกับจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งนักลงทุนคาดว่าจะทั้งสองประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันได้ ในขณะที่ปัจจัยด้านการดำเนินนโยบายรัดกุมของธนาคารกลางขนาดใหญ่ เช่น FED, ECB ที่เป็นหนึ่งความเสี่ยงหลักในช่วงปีที่แล้ว ผ่อนคลายลงเช่นเดียวกัน ส่งผลให้นักลงทุนมีความหวังว่าสภาพคล่องจากทางธนาคารกลางจะยังคงสนับสนุนตลาดการเงินต่อไป
อย่างไรก็ตาม ตลาดเผชิญกับความผันผวนอีกครั้งในช่วงต้นเดือน พ.ค. โดยหลักมาจากความเสี่ยงด้านสงครามการค้าที่เร่งตัวขึ้นและมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ ซึ่งนับว่าผิดจากคาดการณ์ของตลาดก่อนหน้าที่คาดว่าทั้งสองประเทศจะหาข้อสรุปทางด้านการค้าจากการเจรจาได้ ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกปรับตัวลงค่อนข้างแรงในช่วงเดือน พ.ค. รวมถึง SET Index ที่ปรับตัวลง -3.18% สำหรับปัจจัยภายในประเทศ แม้ว่าผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้าจะมีจำกัด แต่ผลกระทบทางอ้อมนั้นยังไม่แน่นอน โดยการภาคการส่งออกของไทยยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง ในด้านแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยนั้นถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่ลดลง ขณะที่ปัจจัยด้านการเมือง เริ่มกลับมาเป็นปัจัยบวกให้กับตลาดด้วยแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลที่ชัดเจนขึ้น แต่ยังคงมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไม่มากนักเมื่อเทียบกับปัจจัยต่างประเทศ
สรุปภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมาของปี 2019
นักลงทุนเริ่มมีความคาดหวังว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อรับมือกับภาวะเศรฐกิจสหรัฐฯที่อาจชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้า ประกอบกับการเร่งตัวขึ้นของอุปสงค์ต่อสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2017 นำไปสู่การที่ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยและสหรัฐช่วงอายุ 10 ปี กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง (ประมาณ 0.3%) แต่ยังคงไม่เพียงพอที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้ โดยนับตั้งแตต้นปี นักลงทุนต่างชาติยังคงมีสถานะขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยกว่า 19,000 ล้านบาท ในด้านของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลงเช่นกัน โดยตั้งแต่ต้นปี 2019 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยตั้งแต่อายุคงเหลือ 3 ปีขึ้นไปปรับลดลง โดยความเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ในประเทศในช่วงแรกของปีส่วนมากมาจากนักลงทุนสถาบันภายในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเข้าซื้อตราสารหนี้ก่อนที่กฏหมายเรื่องการจัดเก็บภาษีการลงทุนในตราสารหนี้สำหรับกองทุนจะมีผลบังคับใช้ในช่วงเดือน ส.ค. 2019 นี้
ความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท
ประเด็นความไม่แน่นอนในโลกไม่ว่าจะเป็น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง การที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับเม็กซิโก การประกาศลาออกของนายกฯอังกฤษซึ่งส่งผลให้ข้อตกลงทางด้าน Brexit กับสหภาพยุโรปต้องสะดุดลง รวมไปจนถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง กดดันค่าเงินหลักทั้งหมดให้มีแนวโน้มอ่อนค่าลง และวิ่งเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียรวมถึงสกุลเงินที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) แทนเช่น ค่าเงินเยน สำหรับค่าเงินบาทยังคงสถานะสินทรัพย์ปลอดภัยในภูมิภาค (Regional Safe Haven) ด้วยเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่ง ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อการถือครองสินทรัพย์ไทย ทำให้ค่าเงินบาทไม่สามารถอ่อนค่าผ่านแนวต้านที่ 32 บาทต่อดอลล่าร์ไปได้และกลับมาแข็งค่าอยู่ที่ระดับประมาณ 31.30 – 31.50 อีกครั้ง ทำให้ค่าเงินบาทกลายเป็นค่าเงินที่แข็งค่าที่สุดในภูมิภาคเอเชียนับตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยแข็งค่าไปแล้วมากกว่า 3%
กลยุทธ์การลงทุน
ผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2019 กลับมาปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่น และ NAV ของกองทุน B-INCOME ปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน โดยได้รับผลบวกจากสภาวะตลาดสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่ปรับลดลงต่อเนื่องส่งผลบอกว่าราคาตราสารหนี้ระยะยาวที่อยู่ในพอร์ตการลงทุน ขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ปรับขึ้นมาทำให้กองทุนสามารถนำเงินไปลงทุนใหม่ได้อัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น
ในด้านของตราสารทุน ผู้จัดการกองทุนมีการลดระดับความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนด้วยการเพิ่มสัดส่วนการถือเงินสดจากขายหุ้นบางบริษัทที่คาดว่าถึงระดับเต็มมูลค่าแล้ว รวมถึงกลุ่มที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนลดลง (Dividend Yield) ออกมาบางส่วน เช่น บริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์บางแห่ง เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนยังคงเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทคุณภาพที่มีรูปแบบธุรกิจที่เข้มแข็ง มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง มีฐานะการเงิน แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสูง และมีแนวโน้มการจ่ายปันผลดีอย่างสม่ำเสมอ โดยมุ่งเน้นไปยังหุ้นที่อิงกับนโยบายภาครัฐและการบริโภคภายในประเทศเพื่อลดทอนผลกระทบจากความผันผวนภายนอกประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มธนาคาร กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
สำหรับตราสารหนี้ยังคงเป็นสินทรัพย์หลักที่มีคุณค่าสำหรับพอร์ตการลงทุนด้วยสัดส่วนการลงทุนประมาณ 46% ของ พอร์ตการลงทุน (ไม่รวมเงินฝาก) โดยผู้จัดการกองทุนยังคงมุ่งหวังผลตอบแทนระยะสั้นถึงกลางให้สูงกว่าดัชนีชี้วัดโดยเน้นการลงทุนทั้งในตราสารภาครัฐและเอกชนที่ให้ผลตอบแทนสอดคล้องและเหมาะสมกับความเสี่ยง ด้วยอายุเฉลี่ยของ ตราสารหนี้ที่ประมาณ 1 ปี ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนตัดสินใจปรับลดความเสี่ยงในพอร์ตตราสารหนี้ด้วยการขายทำกำไรตราสารหนี้ต่างประเทศออกไปบางส่วนและมาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลแทน สำหรับในส่วนของหุ้นกู้ภาคเอกชน ผู้จัดการกองทุนยังคงเลือกที่ผู้ออกมีฐานะทางการเงินมั่นคงที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป รวมถึงได้ Credit spread ที่น่าจูงใจเหมาะสมกับระดับความเสี่ยง โดยเน้นการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี
นอกจากนั้น ผู้จัดการกองทุนยังได้แบ่งสัดส่วนการลงทุนไปยังตราสารหนี้ต่างประเทศประมาณ 9% ทั้งในส่วนของตราสารหนี้ทั่วโลกทั้งระดับ Investment Grade และ High Yield Bond เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนแก่กองทุน
มุมมองต่อการลงทุนของทีมผู้จัดการกองทุน
ผู้จัดการกองทุนยังคงมีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังต่อการลงทุนในปีนี้ ด้วยเป็นการลงทุนที่กำลังจะเข้าสู่ช่วง Late Cycle ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาหุ้นสามารถขึ้นได้อย่างจำกัด หรือแม้กระทั่งดัชนีอาจเกิดการปรับฐานอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยปัจจัยที่จะเข้ามามีผลกระทบกับ Sentiment ของตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปีจะมาจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในเรื่องสงครามการค้าที่ยังไม่ชัดเจนว่าจบลงในรูปแบบใดและยาวนานยืดเยื้อเพียงใด อนึ่ง แม้ว่ามูลค่าของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ P/E ระดับประมาณ 15 เท่าจะต่ำว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทว่าเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทที่คาดว่าจะอ่อนแรงลง ทำให้ระดับ P/E ที่ปัจจุบันนี้อาจยังไม่ต่ำพอที่จะดึงดูดนักลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการกองทุนเชื่อว่าโอกาสในการลงทุนยังคงมีอยู่ แต่ต้องอาศัยความพิถีพิถันในการคัดเลือกบริษัทและการหาจังหวะเข้าลงทุน โดยเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศในระดับที่จำกัด รวมถึงยังคงมองว่าการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือกองทรัสต์มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดผันผวน โดยคาดว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ประมาณ 6-7% ในปีนี้ และเลือกลงทุนในกองที่มีอัตราการกู้ยืมเงินในระดับต่ำเพื่อลดผลกระทบจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาด
สำหรับตลาดตราสารหนี้ ผู้จัดการกองทุนมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยในปีนี้จะยังลดลง เป็นไปตามแนวโน้มของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของไทยยังจำกัดทำให้มีความเป็นไปได้ที่ ธปท. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปอย่างน้อยจนถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยคาดว่าเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Yield Curve) จะเป็นไปแบบ Bullish Flattening (เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวลดลงในสัดส่วนที่มากกว่าการลดลงของอัตราพันธบัตรระยะสั้น) แต่การลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะเป็นไปอย่างจำกัด ด้วยอัตราผลตอบแทนในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาปรับลดมาค่อนข้างมากแล้ว
เกณฑ์มาตรฐาน : ดัชนีชี้วัด ThaiBMA Government Bond Index อายุ 1-3 ปี 15%, อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 1 ปี วงเงิน 1 ล้านบาท เฉลี่ย ธ.กรุงเทพ ธ.กสิกรไทย ธ.ไทยพาณิชย์ 15%, อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารในตลาดลอนดอนระยะเวลา 3 เดือน (3M-LIBOR) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ บวกด้วยส่วนต่างอัตราผลตอบแทน 0.5% ต่อปี ปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อคำนวณผลตอบแทนเป็นสกุลเงินบาท ณ วันที่คำนวณผลตอบแทน 20%, ดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์ (SET TRI) 20%, MSCI AC ASEAN NETR USD Index ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อคำนวณผลตอบแทนเป็นสกุลเงินบาท ณ วันที่คำนวณผลตอบแทน 10%, MSCI ACWI Real Estate Investment Trusts Net Total Return USD Index ปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อคำนวณ ผลตอบแทนเป็นสกุลเงินบาท ณ วันที่คำนวณผลตอบแทน 20%