เดอะ จาการ์ตา โพสต์ รายงานว่า Sri Mulyani Indrawati รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอินโดนีเซีย ออกมาแสดงความเป็นห่วงกรณีรายได้ภาษีปีนี้ที่ชะลอตัว โดยตัวเลขสิ้นสุดเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลอินโดนีเซียสามารถจัดเก็บภาษีและศุลกากรไปได้แล้ว 727.7 ล้านล้านรูเปียห์ หรือ 51,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 31.9% ของเป้าหมายรายได้ภาษีทั้งปีงบประมาณ 2019 ที่รัฐบาลวางไว้
ทั้งนี้ ตัวเลขรายได้ภาษีที่ออกมา ถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพียง 5.7% เท่านั้น ซึ่งยังห่างไกลอัตราการเติบโตของปีก่อนเทียบกับปี 2017 ซึ่งอยู่ที่ 14.5%
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังแสดงความเป็นห่วงอีกว่า รายได้ภาษีจากน้ำมันและก๊าซ เติบโตเพียง 2.4% เป็น 496.6 ล้านล้านรูเปียห์เท่านั้น
“นี่ถือเป็นจุดวิกฤติ เราต้องจับตาสัญญาณเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ว่าจะยังแข็งแกร่งหรืออ่อนตัว” เธอให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ kontan.co.id เมื่อวันก่อน
เธอ กล่าวอีกว่า กระทรวงการคลังมีความระมัดระวังในการบริหารจัดการงบประมาณของประเทศ รวมทั้งการจัดเก็บรายได้ เพราะการเติบโตของรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีก็อ่อนแอ เติบโตที่ 8.6% เท่านั้น ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เติบโต 18.1%
ปีนี้ รายได้ที่ไม่ใช่ภาษี ได้รับแรงสนับสนุนมาจากการบริหารจัดการสินทรัพย์ของธนาคารกลางอินโดนีเซีย หากไม่มีสัดส่วนที่มาจากธนาคารกลางอินโดนีเซีย รายได้ที่ไม่ใช่ภาษีถือว่าทรงตัว ซึ่งสิ่งนี้เป็นดัชนีชี้ว่า รายได้จากทรัพยากรธรรมชาตินั้นอยู่ภายใต้แรงกดดัน” Sri Mulyani กล่าว
Robert Pakpahan ผู้อำนวยการทั่วไป ด้านการจัดเก็บภาษี กล่าวว่า รายได้ภาษีของปีนี้ไม่ดีเท่าปีก่อน เป็นผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว และเป็นเพราะนโยบายของรัฐบาลด้วย โดยองค์ประกอบของรายได้ภาษีทั้งหมดล้วนชะลอตัว ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีการขายสินค้าหรู ตกลงไป 4.4% เป็นผลพวงจากใช้นโยบายกระตุ้นให้ขอคืนเงินภาษี