อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงตลอดช่วงอายุ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลระยะกลาง-ยาวที่ปรับตัวลงมากถึง 0.20% – 0.35% เป็นการปรับตัวในทิศทางเดียวกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จากความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน ซึ่งเป็นผลมาจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปที่กลับมาส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอีกครั้ง หลังตัวเลขเศรษฐกิจโลกมีทิศทางชะลอตัวลงและมีความกังวลต่อผลกระทบของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ด้านตลาดตราสารหนี้ไทยได้รับอานิสงส์จากความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำเช่นเดียวกันจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศ Emerging Market ด้วยกัน ทำให้ในเดือนมิถุนายนมีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาซื้อสุทธิรวม 52,296 ล้านบาท
สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ในเดือนมิถุนายนยังคงมีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันยังอยู่ในระดับผ่อนคลายเพียงพอต่อภาวะเศรษฐกิจไทย พร้อมปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ลงเหลือ 3.3% จากเดิม 3.8% จากการส่งออกสินค้าและบริการที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ยังแสดงความกังวลต่อการแข็งค่าของค่าเงินบาทที่ค่อนข้างเร็วและอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าและเศรษฐกิจไทยในอนาคต
แนวโน้มตราสารหนี้ไทยในอนาคตยังต้องติดตามปัจจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ตลาดได้ให้น้ำหนักต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% – 0.75% ภายใน 12 เดือนข้างหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญคือ การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่คาดว่าจะล่าช้ากว่ากำหนด 2-3 เดือนจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
Fund Comment
Fund Comment มิถุนายน 2562 : มุมมองตลาดตราสารหนี้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงตลอดช่วงอายุ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลระยะกลาง-ยาวที่ปรับตัวลงมากถึง 0.20% – 0.35% เป็นการปรับตัวในทิศทางเดียวกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จากความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน ซึ่งเป็นผลมาจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปที่กลับมาส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอีกครั้ง หลังตัวเลขเศรษฐกิจโลกมีทิศทางชะลอตัวลงและมีความกังวลต่อผลกระทบของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ด้านตลาดตราสารหนี้ไทยได้รับอานิสงส์จากความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำเช่นเดียวกันจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศ Emerging Market ด้วยกัน ทำให้ในเดือนมิถุนายนมีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาซื้อสุทธิรวม 52,296 ล้านบาท
สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ในเดือนมิถุนายนยังคงมีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันยังอยู่ในระดับผ่อนคลายเพียงพอต่อภาวะเศรษฐกิจไทย พร้อมปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ลงเหลือ 3.3% จากเดิม 3.8% จากการส่งออกสินค้าและบริการที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ยังแสดงความกังวลต่อการแข็งค่าของค่าเงินบาทที่ค่อนข้างเร็วและอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าและเศรษฐกิจไทยในอนาคต
แนวโน้มตราสารหนี้ไทยในอนาคตยังต้องติดตามปัจจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ตลาดได้ให้น้ำหนักต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% – 0.75% ภายใน 12 เดือนข้างหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญคือ การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่คาดว่าจะล่าช้ากว่ากำหนด 2-3 เดือนจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้