กลยุทธ์การลงทุน
ผลการดำเนินงานของกองทุนตั้งแต่ต้นปี 2019 ปรับตัวขึ้นได้เป็นอย่างดีที่ 4.11% และมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.52% ตราสารทุนสามารถยังคงสร้างผลตอบแทนได้ดีแม้ว่าจะเผชิญกับสภาวะตลาดผันผวน โดยอุตสาหกรรมที่กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนสูง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มขนส่ง กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงกลุ่มพาณิชย์สามารถปรับตัวขึ้นดี อีกทั้ง กองทุนมีการลงทุนใน PF/REITs/IFF ทำให้ได้รับประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของดัชนีกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน ขณะเดียวกัน ผลตอบแทนประมาณครึ่งหนึ่งมาจากสัดส่วนของตราสารหนี้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาผูจัดการกองทุนได้มีการขายทำกำไรในหุ้นกู้ภาคเอกชนบางส่วน โดยตราสารหนี้เป็นส่วนที่ช่วยบริหารความเสี่ยงทางขาลงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวน
ในด้านของตราสารทุน ผู้จัดการกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นที่ศักยภาพในการเติบโต (Growth Stock) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีระดับความเสี่ยงมากกว่าดัชนีประเทศ โดยในช่วงเดือน ต.ค. ผู้จัดการกองทุนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงน้ำหนักการลงทุนในหุ้น โดยมีการลดระดับความเสี่ยงของพอร์ตออกไปบ้างโดยขายหุ้นบางบริษัทที่คาดว่าถึงระดับเต็มมูลค่าแล้วออกมาบางส่วน เช่น กลุ่มปิโตรเคมิคอล เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนยังคงเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทคุณภาพที่มีรูปแบบธุรกิจที่เข้มแข็ง มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง มีฐานะการเงิน แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสูง โดยมุ่งเน้นไปยังหุ้นที่อิงกับนโยบายภาครัฐและการบริโภคภายในประเทศเพื่อลดทอนผลกระทบจากความผันผวนภายนอกประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มธนาคาร กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น อีกทั้ง ผู้จัดการกองทุนยังได้ปันเงินลงทุนบางส่วนเข้าลงทุนใน กลุ่มสินทรัพย์ PF/REITs/IFF เพื่อแสวงหาผลตอบแทนในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง
สำหรับตราสารหนี้ยังคงเป็นสินทรัพย์หลักที่มีคุณค่าสำหรับพอร์ตการลงทุนด้วยสัดส่วนการลงทุนประมาณ 75% ของ พอร์ตการลงทุน โดยผู้จัดการกองทุนยังคงมุ่งหวังผลตอบแทนระยะสั้นถึงกลางให้สูงกว่าดัชนีชี้วัดโดยเน้นการลงทุนทั้งในตราสารภาครัฐและเอกชนที่ให้ผลตอบแทนสอดคล้องและเหมาะสมกับความเสี่ยง ด้วยอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ประมาณ 2.1 ปี ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนตัดสินใจปรับลดความเสี่ยงในพอร์ตตราสารหนี้ด้วยการขายทำกำไรตราสารหนี้ต่างประเทศออกไปบางส่วนและมาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลแทน สำหรับในส่วนของหุ้นกู้ภาคเอกชน ผู้จัดการกองทุนยังคงเลือกที่ผู้ออกมีฐานะทางการเงินมั่นคงที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป รวมถึงได้ Credit spread ที่น่าจูงใจเหมาะสมกับระดับความเสี่ยง โดยเน้นการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี ณ ปัจจุบัน อันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยของตราสารที่กองทุนลงทุนอยู่ที่ระดับ AA-
นอกจากนั้น ผู้จัดการกองทุนยังได้แบ่งสัดส่วนการลงทุนไปยังตราสารหนี้ต่างประเทศประมาณ 11% ทั้งในส่วนของตราสารหนี้ทั่วโลกทั้งระดับ Investment Grade และ High Yield Bond เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนแก่กองทุน โดยให้น้ำหนักกับตราสารหนี้ในเอเชีย เนื่องจากมีผลตอบแทนที่น่าสนใจขณะที่ความผันผวนอยู่ในระดับไม่สูงมาก โดยที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ในเอเชียยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าจะเกิดสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางด้านสงครามการค้า โดยได้รับปัจจัยบวกจากความคาดหวังต่อการดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางในภูมิภาค รวมถึงการดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวของรัฐบาลต่างๆเพื่อช่วยเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจ อีกทั้ง การที่บริษัทในภูมิภาคมีงบดุลที่แข็งแกร่งและมีความระมัดระวังการใช้เงินทุนทำให้สถานะเงินสดของบริษัทต่างๆ มีแนวโน้มดีขึ้น
มุมมองต่อการลงทุนของทีมผู้จัดการกองทุน
ผู้จัดการกองทุนยังคงมีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังต่อการลงทุน ด้วยเชื่อว่า เป็นช่วงที่ราคาหุ้นสามารถขึ้นได้อย่างจำกัด แม้ว่าตลาดจะมีปัจจัยหนุนจากสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง แต่ทว่าประเด็นเรื่องสงครามการค้า และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลงจะส่งแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการกองทุนเชื่อว่าโอกาสในการลงทุนยังคงมีอยู่ แต่ต้องอาศัยความพิถีพิถันในการคัดเลือกบริษัทและการหาจังหวะเข้าลงทุน โดยเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศในระดับที่จำกัด รวมถึงยังคงมองว่าการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือกองทรัสต์มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดผันผวน แม้ว่าระดับราคาจะปรับขึ้นมาพอสมควร แต่ความน่าสนใจในการลงทุนยังคงมีอยู่จาก Yield Spread เหนืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 3% และความผันผวนที่ต่ำกว่าหุ้น โดยจะเลือกลงทุนในกองทุนที่มีรายรับสม่ำเสมอ เช่น สำนักงาน โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับนิคมอุตสาหกรรมที่นอกจากรายรับที่สม่ำเสมอแล้วยังอาจได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมาจากประเทศจีนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านสงครามการค้า
สำหรับตลาดตราสารหนี้ ผู้จัดการกองทุนมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอาจไม่เปลี่ยนไปจากระดับปัจจุบันมากนัก ด้วยแรงกดดันทั้งด้านขาขึ้นและขาลงยังคงไม่ชัดเจน โดยยังคงต้องติดตามทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นด้านความขัดแย้งทางการค้าที่แม้ว่าจะมีข่าวออกมาในเชิงบวก แต่ยังคงไม่เห็นบทสรุปอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดกลับมาอยู่ในสภาวะหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง (Risk off) อีกครั้งได้ โดยผู้จัดการกองทุนจะใช้โอกาสที่อัตราผลตอบแทนที่อาจปรับตัวขึ้นเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน โดยที่ยังคง Duration ของพอร์ตไว้ที่ช่วง 1-3 ปี
ผลการดำเนินงานของกองทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2019)
ติดตามรายละเอียด BF Product Update : B-SENIOR-X ฉบับเต็มได้ที่ https://www.bblam.co.th/products/mutual-funds/mixed-fund/b-senior-x/6603#content