กองทุนผสมบีซีเนียร์สำหรับวัยเกษียณ เอ็กซ์ตร้า (B-SENIOR-X)

กองทุนผสมบีซีเนียร์สำหรับวัยเกษียณ เอ็กซ์ตร้า (B-SENIOR-X)

สรุปภาพรวมตลาดตราสารทุน

บรรยากาศการลงทุนในช่วงปลายปี 2562 มีความผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากสหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกร่วมกันได้ ประเด็นที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปคลี่คลายลง และแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักๆ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปในปี 2563

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบจากความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งปี 4.5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมปี 2562 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 1.02% ซื่งเป็นการปรับตัวได้น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านและตลาดหุ้นโลก

ในขณะที่ ปัจจัยต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เริ่มมีทิศทางที่ผ่อนคลาย แต่ปี 2563 มีปัจจัยเสี่ยงใหม่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านที่ทำให่ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนในช่วงต้นเดือนมกราคม ตามมาด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่แพร่จากเมืองอู่ฮั่นของจีนในปลายเดือนมกราคม ส่งผลให้ภาคธุรกิจจีนและการท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบ แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นเพียงชั่วคราวและประเทศต่างๆ ยังต้องหาวิธีการรับมือเพื่อไม่ให้ขยายวงกว้าง แต่ก็ยังทำให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้

นับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ แม้ว่าจะเจอปัจจัยลบจากโรคระบาด แต่ตลาดหุ้นหลักๆ นอกตลาดเอเชีย ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดเอเชีย ส่วนใหญ่ยังให้ผลตอบแทนติดลบ เนื่องจาก เศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย มีความเชื่อมโยงกับประเทศจีนมากกว่าทั้งภาคการผลิต การค้า และการลงทุน ทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ถูกชะลอออกไป

ด้านเศรษฐกิจไทย เผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น อาทิ ภาคการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว ภาคการท่องเที่ยวที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน และการใช้จ่ายของภาครัฐที่ล่าช้า ทำให้ภาคการบริโภคในประเทศเริ่มได้รับผลกระทบ ส่งผลให้หลายสำนักเริ่มมีการปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลง โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 4.1% ในเดือนมกราคม ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้

ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกและเอเชีย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยอีก 1.73 หมื่นล้านบาท เป็นการขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6

โดยภาพรวมแล้ว แม้ว่าตลาดจะยังมีความเสี่ยงอยู่ แต่ดัชนีที่ปรับตัวลดลงมา และตัวเลขประมาณการ EPS ในปีนี้ ที่ปรับลดลงมาแล้ว จาก 102 บาทต่อหุ้น มาอยู่ที่ 98 บาทต่อหุ้น ก็ได้มีการรับรู้ปัจจัยลบไปบ้างแล้ว ทั้งนี้ หลายประเทศเริ่มส่งสัญญาณที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทั้งด้านการเงินและการใช้จ่ายภาครัฐ ขณะที่ประเทศไทยเอง แบงก์ชาติก็ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อช่วยประคองและกระตุ้นเศรษฐกิจ เรามองว่า การปรับตัวลงของตลาดหุ้นในช่วงนี้ จึงเป็นโอกาสในการเลือกซื้อหุ้นรายตัว ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สำหรับการลงทุน

สรุปภาพรวมตลาดตราสารหนี้

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ทั้งปี 2562 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลง (ราคาเพิ่มสูงขึ้น) ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก ประกอบกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงินมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 2 ครั้ง มาอยู่ที่ 1.25% จากความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงความตึงเครียด ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ

สำหรับ Foreign Fund Flow ในส่วนของตราสารหนี้ทั้งปี ประเทศไทยมี Net Fund Outflow จำนวน 8.4 หมื่นล้านบาท จากแรงขายกลุ่มตราสารหนี้ระยะสั้น โดยเป็นการขายทำกำไรหลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่า รวมถึงราคาตราสารหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดการถือครองพันธบัตรของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ระดับ 9.17 แสนล้านบาท (ลดลงจากปลายปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 9.86 แสนล้านบาท)

ตลาดหุ้นกู้บริษัทเอกชนในปี 2562 มีการออกหุ้นกู้ใหม่รวม 1.02 ล้านล้านบาท ปรับสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปริมาณการออกหุ้นกู้ของทั้งปี 2561 ที่ระดับ 7.4 แสนล้านบาท โดยที่ผ่านมาภาคธุรกิจได้มีการซื้อกิจการใหญ่หลายโครงการ จึงต้องมีแหล่งเงินทุนจากการออกหุ้นกู้เพิ่มเติม รวมถึงเพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน ส่งผลให้ผลตอบแทนหุ้นกู้ โดยพิจารณาจาก Credit Spread

สำหรับ หุ้นกู้ในกลุ่ม A และ BBB ปรับเพิ่มขึ้น 12-71 bps ขณะที่หุ้นกู้กลุ่ม AA มี Credit Spread คงที่ และกลุ่ม AAA มี Credit spread ลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่า การออกหุ้นกู้ในปี 2563 จะปรับตัวลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง

ในช่วงเดือนแรกของปี 2563 ข้อมูล ณ 31 มกราคม 2563 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลงทุกช่วงอายุประมาณ -1 ถึง -18 bps โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปี และ 10 ปี ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำมากที่ 1.08% (-10 bps) และ 1.31% (-18 bps) ตามลำดับ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ทำให้นักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยงและเข้าถือพันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

นอกจากนี้ในพันธบัตรรัฐบาลไทยยังมีสาเหตุมาจากการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงินด้วย ซึ่งเมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 1.25% มาอยู่ที่ 1.00% ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปี และ 10 ปี ปรับลงมาเพียง 2 bps จากวันก่อนหน้ามาอยู่ที่ 1.04% และ 1.29% เท่านั้น เพราะตลาดได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว

ทั้งนี้ ธนาคารกลางหลักของโลก มีทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจากการประชุมธนาคารกลางของหลายประเทศในเดือนมกราคม ส่วนใหญ่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม ได้แก่ วันที่ 28-29 ม.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% – 1.75% วันที่ 23 ม.ค. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% วันที่ 20-21 ม.ค. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% และวันที่ 30 ม.ค. ธนาคารกลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.75%

แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในระยะต่อไป คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยจะยังคงผันผวนตามปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งหากการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างต่อเนื่องจะฉุดให้เศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด แนวโน้มอุปทานพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond Supply) หลังการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีล่าช้าออกไป รวมถึงประเด็นการกีดกันทางการค้า ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักของโลก

ด้านการดำเนินนโยบายการเงินของไทย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.0% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ในระยะต่อไป

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสจะส่งผลต่อการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะนำเข้าไปคำนวณในดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยด้วย โดยจะเป็นส่วนหนึ่งในดุลบริการ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคสามารถยังไม่สามารถควบคุมได้ ประกอบกับ การค้าระหว่างประเทศของไทยยังไม่ดีขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี 2563 นี้ น่าจะลดลงมาอยู่ที่ 2.5-3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ จาก 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2561 และจากตัวเลขประมาณการปี 2562 ที่ 3.72 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ จากมุมมองดังกล่าวจึงประมาณกรอบการเคลื่อนไหวของ USDTHB ที่ 29-32 บาท

กลยุทธ์การลงทุน

นโยบายการลงทุน : ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในหลักทรัพย์ต่างๆ ดังนี้ โดยสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่เกิน 79% ของ NAV

  • ตราสารแห่งหนี้ เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ตราสารหนี้ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก ตราสารหนี้ภาคสถาบันการเงิน ตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV
  • ตราสารทุน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่เกิน 30% ของ NAV
  • หน่วยลงทุนของกองทุนรวม เช่น กองทุนรวมทองคำ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) เป็นต้น
  • หน่วยลงทุนของกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่เกิน 60% ของ NAV
  • เงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก

ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนใน Derivatives และ/หรือ Structured Note

ข้อมูล ณ 31 มกราคม 2563 กองทุนผสมบีซีเนียร์สำหรับวัยเกษียณ เอ็กซ์ตร้า มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี 2.92% เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 0.19% กองทุนได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยในเดือนมกราคม โดยเฉพาะกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ประกาศผลประกอบการออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก และมีการส่งสัญญาณถึง NPL ที่เร่งตัวขึ้น กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโต (Growth Stock) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีระดับความเสี่ยงมากกว่าดัชนี และลงทุนในบริษัทที่มีรูปแบบธุรกิจที่เข้มแข็ง มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง มีฐานะการเงิน แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสูง และกระจายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นในภูมิภาคอาเซียน สถานการณ์ปัจจุบัน ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในตลาดหุ้นไทย ดังนี้

  • กลุ่มธนาคาร : เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ลงมามาก สะท้อนให้เห็นว่าตลาดตอบรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการไปมากแล้ว จนทำให้มูลค่าหุ้นเริ่มกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนระยะยาว
  • กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ : เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ โดยจะเน้นเลือกหุ้นรายตัวที่มี Earnings Visibility จากยอดโอน และ Recurring Income รวมถึงมีการให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงสม่ำเสมอ
  • กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ : ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว กลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความผันผวนน้อยกว่าตลาด (Defensive Stock) และยังเห็นการเติบโตของปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น และการเปิดส่วนต่อขยายเพิ่มขึ้น ในช่วงปลายปี กำไรจะยกฐานใหม่จากผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาใหม่

ตราสารหนี้ ยังคงเป็นสินทรัพย์หลักที่มีคุณค่าสำหรับพอร์ตการลงทุน กองทุนลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ 28.23% และตราสารหนี้ภาคเอกชน 21.34% โดยจะเน้นหุ้นกู้ที่ผู้ออกมีฐานะทางการเงินมั่นคง รวมถึงได้ Credit Spread ที่น่าจูงใจเหมาะสมกับระดับความเสี่ยง

ณ 31 มกราคม 2563 อันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยของตราสารที่กองทุนลงทุนอยู่ที่ระดับ A+ อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุน (Duration) อยู่ที่ 2.3476 ปี โดยผู้จัดการกองทุนมองว่าแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายน่าจะยังคงทรงตัวในระดับต่ำ 1.0% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และนโยบายการเงินอาจมีบทบาทน้อยลงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ภัยแล้ง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายที่ล่าช้า รวมถึงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะจะมีผลต่อนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย และ Foreign Fund Flow โดยผู้จัดการกองทุน จะใช้โอกาสที่อัตราผลตอบแทนที่อาจปรับตัวขึ้นเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน โดยที่ยังคง Duration ของพอร์ตไว้ที่ประมาณ 1-3 ปี และมุ่งหวังผลตอบแทนระยะสั้นถึงกลางให้สูงกว่าดัชนีชี้วัด เน้นการลงทุนทั้งในตราสารภาครัฐและเอกชนที่ให้ผลตอบแทนสอดคล้อง เหมาะสมกับความเสี่ยง

นอกจากนี้ กองทุนได้กระจายการลงทุนไปยัง กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งตราสารหนี้ทั่วโลก และตราสารหนี้ที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งลงทุนบางส่วนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์/REITs และ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ผู้จัดการกองทุนมองว่า อัตราเงินปันผลของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ / REITs และ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ยังน่าสนใจ อยู่ที่ประมาณ 5.5% สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์/ REITs และ 7.8% สำหรับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และจะเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว

สัดส่วนการลงทุนของกองทุน (% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ)

สัดส่วนการลงทุนตราสารทุนในประเทศแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรม (% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ)

ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง (ข้อมูล ณ 31 ม.ค. 2563)