สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมาย Coronavirus Aid, Relief, and Economic Security (CARES) Act ซึ่งจะมีการใช้เงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการอุ้มเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

ผู้ที่จะได้รับส่วนแบ่งชิ้นใหญ่ของเงินช่วยเหลือ คือ บริษัทขนาดใหญ่ โดยไม่มีเงื่อนไขผูกพันอะไรมาก นอกเหนือไปจากนั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ได้ตั้งวงเงิน 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยธนาคาร เฮดจ์ฟันด์ และสถาบันการเงินต่างๆ หลังจากที่ได้ลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0% นอกจากนี้ยังตั้งวงเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมสภาพคล่องในตลาดซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล

เฟดได้ประกาศว่าจะทำคิวอี โดยไม่มีเพดานจำกัด เพื่อให้ตลาดเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ที่มีทรัพย์สินอสังหาฯ ค้ำประกัน

ในเดือนที่ผ่านมา เฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลไปแล้ว 650,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ งบดุลของเฟดได้ขยายตัวไป 5.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในการกอบกู้เศรษฐกิจคร้ังนี้ ได้เห็นความร่วมมือระหว่างเฟด และกระทรวงการคลังเป็นครั้งแรก ที่จำเป็นต้องเข้าไปอุ้มตลาดการเงินที่มูลค่าตกต่ำลงจากวิกฤติโควิด-19

ปัญหาคือเฟดมีข้อบังคับว่า สามารถซื้อ หรือให้กู้หลักทรัพท์ที่เป็นของรัฐบาล หรือรัฐบาลการันตีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรับฐาล ตราสารหนี้ที่มีอสังหาฯ หนุนหลังของรัฐ หนี้ที่ออกโดย Fannie Mae และ Freddie Mac และพันธบัตรของรัฐบาลท้องถิ่น

การที่จะให้เฟดเข้ามาร่วมปล่อยกู้ให้กับตราสารหนี้ของเอกชน เช่น พันธบัตรเอกชน ตราสารหนี้ระยะสั้น ตราสารหนี้ที่มีทรัพย์สินหนุนหลังอื่นๆ จำต้องมีวิธีการเลี่ยงกฎหมาย กระทรวงการคลังใช้เงินกองทุนของ Exchange Stabilization Fund เพื่อตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle) โดยมีเงินทุนประเดิม 425,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อตราสารหนี้ของเอกชนแทบทุกประเภท เฟดจะให้กู้กับนิติบุคคลเฉพาะกิจนี้ โดยมีทรัพย์สินเหล่านี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณการปล่อยกู้ได้ 10 เท่า เป็น 4-5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในแง่หนึ่ง รัฐบาลกลางสหรัฐฯ กำลังซื้อทรัพย์ของเอกชน มาเป็นทรัพย์สินของรัฐบาล โดยทำงานร่วมกับธนาคารกลาง และมี BlackRock เป็นผู้บริหารจัดการการซื้อขาย ทำให้บางคนตีความไปว่า รัฐบาลทรัมป์ได้เข้าไปครอบงำเฟด