สรุปภาพรวมตลาดตราสารทุน
ภาพรวมการลงทุนในไตรมาสแรกของปีนั้น เต็มไปด้วยความผันผวน โดยหลังจากที่ตลาดหุ้นโลกได้ทำจุดสูงสุดในช่วงกลางเดือน ก.พ. แล้วปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว โดยตลาดหุ้นหลายแห่งปรับตัวลงไปทำจุดต่ำสุดที่ประมาณ -30% นับจากต้นปี จนถึงเดือน มี.ค. และเป็นการเข้าสู่ตลาดหมีหรือเป็นการลดลงจากจุดสูงสุดมากกว่า 20% ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ได้กลายเป็นการแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลก ทุกประเทศต้องใช้มาตรการต่างๆ ในการรับมือ ทั้งการปิดเมือง การจำกัดการเดินทางและการหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงัน และมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างแน่นอนแล้ว
ในปีนี้ ซึ่งความต้องการบริโภคที่หายไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้เกิดผลกระทบในเชิงกว้าง รวมถึงสงครามราคาน้ำมันระหว่าง
บรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลักที่ไม่สามารถเจรจาลดกำลังผลิตได้ ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงแรง
ภาวะดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกอุตสาหกรรมยุคใหม่ ที่เศรษฐกิจของทั่วโลกนั้นมีการเชื่อมโยงกันสูง ทำให้เกิด
ผลกระทบค่อนข้างมาก การตอบสนองของรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกในเวลานี้ จึงมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน โดยผู้ที่มีอิทธิพลหลักอย่าง เฟด ได้ลดดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็วจนใกล้ศูนย์ เป็นการลดที่เร็วกว่าการถดถอยครั้งไหนๆ รวมทั้งใช้การอัดฉีด
สภาพคล่องเพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่จากภาครัฐบาล ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก ซึ่งช่วยลดความกลัวของนักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงของการล้มละลายของบริษัทจำนวนมากลงไปได้
ด้านตลาดหุ้นไทยในปี 2020 นี้ ปรับตัวลงมาแล้วราว 30% YTD โดยในเดือน มี.ค. ปรับตัวลดลงราว 16% จากปัจจัยลบต่างๆ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.96 หมื่นล้านบาท โดยลดสัดส่วนการถือครองในหุ้นแทบจะทุกกลุ่มในตลาด ขณะที่ด้านผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้น ส่งผลในเกือบทุกภาคส่วน ทั้งการท่องเที่ยว การค้าระหว่างประเทศและการบริโภคในประเทศ ทำให้ประการณ์จีดีพีของไทยในปีนี้ ถูกหลายสำนักปรับลงอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดนั้นอาจจะติดลบมากถึง 7%
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่นเดียวกันกับประเทศอื่นๆ จึงคาดว่าจะสามารถรองรับ
ประคับประคองไม่ให้เศรษฐกิจในปีนี้ถลำลึกมากเกินไป
ในส่วนของหลักทรัพย์ประเภทกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นโดยรวม ตั้งต้นปีดัชนี Property Fund/REIT ปรับตัวลดลง 27.3% โดยในเดือนมีนาคม ปรับลดลงกว่า 23% กองทุนที่ปรับลงมากที่สุด คือ กองทุนประเภท Exhibition Centre และกองทุนที่ได้รับผลกระทบน้อย คือ กองทุนอาคารสำนักงาน และกองทุนนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากกองทุนเหล่านี้มีสัญญาการเช่าระยะยาว
แนวโน้มการลงทุนในช่วงนี้ยังคงมีความผันผวน โดยตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงมาแตะที่จุดต่ำสุดบริเวณ 970 จุด ในเดือน มี.ค.
ซึ่งได้ซึมซับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไปในระดับหนึ่งแล้ว และเป็นโอกาสสำหรับการเข้าลงทุนในหุ้นที่ Valuation ต่ำลงจากช่วงก่อนหน้ามาก ซึ่งนอกจากความหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่แล้ว สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสนั้นดูเหมือนจะมีพัฒนาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงทั้งในและต่างประเทศ โดยสิ่งที่ต้องจับตาเป็นสำคัญ คือ แนวทางในการจัดการให้ธุรกิจกลับมาสู่ภาวะปกติในเวลาไม่นานเกินไปว่าจะทำได้อย่างไร และระดับผลกระทบที่แต่ละธุรกิจได้รับจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงมาก ซึ่งจะทยอยเห็นความชัดเจนมากขึ้นหลังการประกาศงบไตรมาส 1/2020 ที่จะมีขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ยังคงเลือกในหุ้นที่มีความแข็งแกร่งของงบดุล มีความสามารถในการแข่งขัน และไม่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกกระทบมากเกินไป ซึ่งจะสามารถผ่านความผันผวนทางเศรษฐกิจนี้ไปได้
สรุปภาพรวมตลาดตราสารหนี้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในเดือน มี.ค. ปรับตัวผันผวน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับลดลงในช่วง -16 ถึง -23 bps สอดคล้องกับการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับเพิ่มขึ้นในช่วง +1 ถึง
+70 bps จากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณว่าการแพร่ระบาดจะไปถึงจุดสูงสุดหรือสามารถควบคุมได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความตื่นตระหนกและเทขายสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมทั้งพันธบัตรรัฐบาลเพื่อถือเงินสดจนกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดการเงิน ธนาคารกลางทั่วโลกจึงพากันประกาศลดอัตราดอกเบี้ยและออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาผลกระทบ
สำหรับธนาคารกลางหลักของโลก ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 50 bps มาอยู่ที่กรอบ 1-1.25%
ในการประชุมฉุกเฉินเมื่อวันที่ 3 มี.ค. และจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เฟดประชุมฉุกเฉิน
อีกครั้งในวันที่ 16 มี.ค. และมีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 100 bps มาอยู่ที่กรอบ 0 – 0.25% พร้อมทั้งออกมาตรการซื้อสินทรัพย์ (QE) มูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมาตรการผ่อนคลายอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดการเงิน นักลงทุนยังคงเทขายสินทรัพย์ออกมาต่อเนื่อง เฟดจึงประชุมฉุกเฉินครั้งที่ 3 ในวันที่ 23 มี.ค. และประกาศขยายวงเงินซื้อสินทรัพย์แบบไม่จำกัด (unlimited QE) โดยจะครอบคลุมไปถึงตราสารหนี้ภาคเอกชนซึ่งนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ (Default risk) โดยภายหลังเฟดประกาศมาตรการดังกล่าวทำให้ตลาดพันธบัตรและตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น
ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มี.ค. อย่างไรก็ตาม ได้เพิ่มวงเงินในการซื้อสินทรัพย์ (QE) อีก 1.2 แสนล้านยูโรจนถึงสิ้นปีนี้ และต่อมาในวันที่ 18 มี.ค. ECB ได้ประชุมฉุกเฉินและประกาศโครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินเพื่อรับมือกับโรคระบาด (Pandemic Emergency Purchase Programme) โดยจะซื้อสินทรัพย์ของทั้งภาครัฐและเอกชนวงเงินรวม 7.5 แสนล้านยูโร ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ -0.1% ในการประชุมฉุกเฉินเมื่อวันที่ 16 มี.ค. อย่างไรก็ตาม ได้ออกมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการเพิ่มวงเงินซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชน 2 ล้านล้านเยน
ด้านตลาดตราสารหนี้ไทย ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างชาติเทขายตราสารหนี้ไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสำหรับนักลงทุนต่างชาติมี
ยอดขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือน มี.ค. เป็นมูลค่าสูงถึง 9.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นๆ ใน
กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ ธปท. จำเป็นต้องเข้ามาเสริมสภาพคล่องด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรในตลาดรองวงเงินรวมกว่า 1 แสนล้านบาท ในช่วงวันที่ 13 – 19 มี.ค. รวมทั้งมีการลดและยกเลิกการออกพันธบัตร ธปท.
อย่างไรก็ตาม ตลาดตราสารหนี้ยังคงเผชิญแรงขายจากนักลงทุนและอัตราผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กนง. จึงประชุมฉุกเฉินในช่วงค่ำของวันศุกร์ที่ 20 มี.ค. และมีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps มาอยู่ที่ 0.75% ส่วนหนึ่งเพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงิน
นอกจากนี้ จากการที่ปัญหาสภาพคล่องได้ขยายวงกว้างไปสู่ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน นักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับการที่บริษัทอาจจะไม่สามารถต่ออายุ (Rollover) ตราสารหนี้ที่ครบกำหนดได้และการผิดนัดชำระหนี้ (Default risk) จึงเทขายตราสารหนี้ภาคเอกชน ซึ่งต่อมา ธปท. กระทรวงการคลัง และ ก.ล.ต. จึงได้มีการประชุมร่วมกันในวันอาทิตย์ที่ 22 มี.ค. และประกาศมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่องในตลาดตราสารหนี้ใน 3 ด้าน ดังนี้
1) มาตรการเสริมสภาพคล่องแก่กองทุนรวม ธปท. จัดตั้งกลไกพิเศษผ่านธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารพาณิชย์ที่เข้าซื้อหน่วยลงทุน
จากกองทุนรวมตลาดเงิน (Money market fund) และกองทุนรวมตราสารหนี้ที่เป็นกองทุนเปิด (Daily fixed income fund) ที่ถือ
สินทรัพย์คุณภาพดี สามารถนำหน่วยลงทุนดังกล่าวมาวางเป็นหลักประกันเพื่อขอสภาพคล่องจาก ธปท. ได้
2) กองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน สมาคมธนาคารไทย ธนาคารออมสิน ธุรกิจประกันภัย และกองทุนบำเหน็จ
บำนาญข้าราชการ ร่วมกันจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนออกใหม่ของบริษัทที่มีคุณภาพดี แต่ประสบปัญหาตลาด
ขาดสภาพคล่องจนส่งผลให้ไม่สามารถต่ออายุ (Rollover) ตราสารหนี้ที่ครบกำหนดได้ครบทั้งจำนวน โดยวงเงินเริ่มต้นประมาณ
70,000 – 100,000 ล้านบาท
3) มาตรการเข้าซื้อพันธบัตร โดยธปท. พร้อมจะเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดตราสารหนี้ภาครัฐผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรทั้งระยะสั้น
และระยะยาวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ระยะที่ 3 วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย
1.มาตรการทางการคลัง วงเงิน 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ และด้านการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 6 แสนล้านบาท และเพื่อดูแลเศรษฐกิจในประเทศวงเงิน 4 แสนล้านบาท
2.มาตรการทางการเงิน วงเงิน 9 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) วงเงิน 5 แสนล้านบาท โดยให้ ธปท. สามารถปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) ให้แก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อให้นำไปปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจ SMEs และวงเงิน 4 แสนล้านบาทสำหรับสนับสนุนสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยกำหนดให้จัดตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่อง (BSF) และให้ธปท. สามารถซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าวได้ไม่เกิน 4 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ กองทุนจะเข้าไปซื้อตราสารหนี้ของบริษัทที่มีคุณภาพแต่ประสบปัญหาสภาพคล่องชั่วคราวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
เพื่อให้บริษัทสามารถ Rollover ต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังให้อำนาจ ธปท. ในการซื้อขายตราสารหนี้ภาคเอกชนในตลาดรองในกรณี
ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อการรักษาเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนและระบบการเงิน
3.มาตรการอื่นๆ ได้แก่ ขยายวงเงินคุ้มครองเงินฝากที่ระดับ 5 ล้านบาทไปถึงวันที่ 10 ส.ค. 2564 มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับ
ผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-banks) ผ่านธนาคารออมสิน และปรับลดอัตรานำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ
(FIDF) จาก 0.46% เหลือ 0.23% เพื่อให้สถาบันการเงินมีต้นทุนต่ำลงซึ่งจะนำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ของภาคธุรกิจและประชาชน
ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งทำให้ระบบ
การเงินไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น
การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เมื่อพิจารณาจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเชิงลบและส่งผลต่อขนาดของบัญชีเดินสะพัดดังนั้นในปีนี้ คาดว่าค่าเงินบาทไทยจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์สหรัฐและบาทไทย จะอยู่
ในกรอบ 30 – 33 บาท
กลยุทธ์การลงทุน
นโยบายการลงทุน : ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในหลักทรัพย์ต่างๆ ดังนี้ โดยสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่เกิน 79% ของ NAV
- ตราสารแห่งหนี้ เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ตราสารหนี้ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก
ตราสารหนี้ภาคสถาบันการเงิน ตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV - ตราสารทุน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่เกิน 30% ของ NAV
- หน่วยลงทุนของกองทุนรวม เช่น กองทุนรวมทองคำ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) เป็นต้น
- หน่วยลงทุนของกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่เกิน 60% ของ NAV
- เงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก
- ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนใน Derivatives และ/หรือ Structured Note
ข้อมูล ณ 31 มี.ค. 2563 กองทุนผสมบีซีเนียร์สำหรับวัยเกษียณ เอ็กซ์ตร้า มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนที่ -6.37% ขณะที่
เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -6.12% ถึงแม้ว่ากองทุนมีสัดส่วนในสินทรัพย์เสี่ยงไม่มากนัก แต่ตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงหลักทรัพย์ประเภทกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์/REITs และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ปรับตัวลงลงมามาก ทำให้กองทุนได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของสินทรัพย์เสี่ยง ในขณะที่ผลตอบแทนจากตราสารหนี้มีไม่มากนัก อีกทั้งตราสารหนี้ระยะยาว ถูกตีราคาตามมูลค่าตลาดลดลง (Mark to Market) ส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นไม่สามารถให้ผลตอบแทนชดเชยการขาดทุนของสินทรัพย์เสี่ยงในพอร์ตได้ จึงทำให้กองทุนมีผลการดำเนินงานติดลบ
สำหรับการลงทุนในตราสารทุน ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา กองทุนได้ขายหลักทรัพย์บางตัวที่เห็นว่าราคาเต็มมูลค่าแล้ว ทำให้ต้นปีนี้กองทุนถือครองเงินสดในสัดส่วนที่สูง และในจังหวะที่ตลาดปรับตัวลงอย่างมาก กองทุนได้เข้าซื้อสะสมในหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโต (Growth Stock) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีระดับความเสี่ยงมากกว่าดัชนี และลงทุนในบริษัทที่มีรูปแบบธุรกิจที่เข้มแข็ง มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง มีฐานะการเงิน แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสูง ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ดังนี้
กลุ่มค้าปลีก : ธุรกิจค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตอย่างสม่ำเสมอและได้รับผลกระทบจากวัฎจักรเศรษฐกิจต่ำ เลือกลงทุนในบริษัทที่มี
ความได้เปรียบในการแข่งขันและมีความสามารถในการขยายธุรกิจ
กลุ่มโรงพยาบาล : ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจึงมีความต้องการบริการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นซึ่งโรงพยาบาลภาครัฐมีไม่เพียงพอ โดยเน้นลงทุนในโรงพยาบาลเอกชนที่มีเครือข่ายกระจายตัวทั่วประเทศ
กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ : ภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เติบโตระดับต่ำ เน้นลงทุนในบริษัทที่กำไรสามารถเติบโตได้จากการขยายเส้นทางเดินรถไฟฟ้าและทางด่วน
กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน : เป็นกลุ่มหลักทรัพย์ที่ยังน่าสนใจลงทุน เพราะส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของกลุ่มกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Yield Spread) ปรับสูงขี้นเป็น 5.1% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 เทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 3% ในอดีต ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเชิงบวก กับกองทุนประเภทนิคมอุตสาหกรรม และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับ Telecom Infrastructure เพราะสองกลุ่มนี้มีสัญญาการเช่าระยะยาว ผลกระทบด้านลบที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 มีจำกัด ช่วงนี้เป็นช่วงที่นักลงทุนขายทำกำไรตามภาวะโดยรวมของตลาด แต่ปัจจัยพื้นฐานและผลตอบแทนยังคงมีความมั่นคง และมีสภาพคล่องที่สูงอยู่
ในด้านตราสารหนี้ เป็นตราสารที่ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน พันธบัตรรัฐบาลยังสามารถลงทุนได้ และสำหรับตราสารหนี้เอกชน Corporate bond จะทยอยลงทุนเมื่อเห็นว่า Credit Spread น่าสนใจ ณ 31 มีนาคม 2563 กองทุนลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ 22% ตราสารหนี้เอกชน 23% อันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยของตราสารที่กองทุนลงทุนอยู่ที่ระดับ A+ และมีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุน (Duration) ประมาณ 2.2375 ปี ผู้จัดการกองทุนคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นมีแนวโน้มปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งมีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25 bps ภายในไตรมาส 2 นี้ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มหดตัวแรง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวคาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวผันผวนตามปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปัจจัยหลักยังเป็นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ยังต้องติดตามมาตรการต่างๆ ทั้งทางการเงินและการคลังของภาครัฐ อุปทานพันธบัตร ความผันผวนในตลาดการเงินโลก และเงินทุนเคลื่อนย้ายในตลาดตราสารหนี้
สำหรับตราสารหนี้ภาคเอกชน ส่วนชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Spread) มีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากการแพร่ระบาดของ
โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของหลายธุรกิจ โดยที่ระยะเวลาการแพร่ระบาดยิ่งยาวนานก็จะยิ่ง
ส่งผลกระทบมากขึ้น และกองทุนได้กระจายการลงทุนไปในตราสารหนี้ต่างประเทศประมาณ 9% เพื่อเพิ่มโอกาสให้กองทุนมีผลตอบแทนที่มากขึ้น
สัดส่วนการลงทุนของกองทุน (% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ)
สัดส่วนการลงทุนตราสารทุนในประเทศแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรม (% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ)
ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง (ข้อมูล ณ 31 มี.ค. 2563)
ใช้เผยแพร่ ณ วันที่ 8 พ.ค. 2563
ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง