โดย…ทนง ขันทอง
โพลล่าสุดจัดทำโดย The New York Times/Siena College แสดงผลว่า คะแนนความนิยมของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตามหลัง โจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต 36% ต่อ 50%
14 จุดของคะแนนความนิยมที่ไบเดนนำห่างทรัมป์ เป็นช่องว่างที่กว้างที่สุดนับตั้งแต่การทำโพลของหลายสำนักในปีนี้ และสะท้อนการยอมรับในตัวนายไบเดินโดยประชาชนชาวอเมริกันเกือบทุกหมู่เหล่า ท้ังๆ ที่แคมเปญของนายไบเดนไม่ได้คึกคักหรือมีความโดดเด่นอะไรมาก ทำให้ทรัมป์ตั้งสมญานามให้คู่แข่งของเขาว่า “Sleepy Joe” หรือโจจอมง่วง
ส่วนมากไบเดนจะใช้เวลาอยู่ที่ฐานที่มั่นคือ รัฐเดอลาแวร์ โดยหาเสียงผ่านแพลตฟอร์มของระบบออนไลน์ เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม เพราะว่าการระบาดของโคโรนาไวรัสในสหรัฐฯ ยังคงมีตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้น
ไบเดน ได้รับแรงสนับสนุนจากอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ที่ช่วยหาเสียงทำให้ล่าสุดสามารถระดมเงินบริจาคหาเสียงเลือกตั้งได้ 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พวกเดโมแครตหมายมั่นที่จะคว่ำทรัมป์ให้ได้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน พ.ย. ที่จะถึงนี้ โดยนางฮิลลารี่ คลินตัน ถึงกับประกาศว่าจะส่งทรัมป์กลับไปอยู่ที่สนามกอล์ฟ
มีคำถามเกิดขึ้นว่า โพลที่ออกมาชี้นำว่า ไบเดนมีคะแนนความนิยมมากกว่าทรัมป์มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด?
ความน่าเชื่อถือของโพลสั่นคลอนไปมาก หลังจากที่ชี้นำผิดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016 ที่ฟาดฟันกันระหว่างทรัมป์กับฮิลลารี่ ช่วงก่อนการเลือกตั้ง เกือบจะทุกโพลแสดงผลว่าฮิลลารี่ชนะทรัมป์ โดยในวันเลือกที่ 8 พ.ย. 2016 โพลชี้ว่าฮิลลารี่มีคะแนนนำทรัมป์ 48% ต่อ 44%
แต่หลังจากการเลือกตั้งสิ้นสุดลง ทรัมป์กลับได้รับชัยชนะ ทำให้พอที่จะสรุปได้ว่า สื่อหรือองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำโพล มีอคติต่อทรัมป์ที่เป็นม้านอกสายตา และต้องการให้ฮิลลารี่ชนะการเลือกตั้ง ฮิลลารี่มั่นใจว่าตัวเองจะชนะการเลือกตั้งแบบไม่ต้องลุ้น แต่ต้องหลั่งน้ำตาที่ถูกทรัมป์พลิกล็อคเอาชนะไปได้ด้วยแคมเปญ Make America Great Again
อีกโพลหนึ่งที่ชี้นำผิดมหันต์คือโพลเบร็กซิทของอังกฤษ ก่อนหน้้าที่จะมีการโหวตประชามติในวันที่ 26 มิ.ย. 2016 ว่าอังกฤษควรที่จะลาออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปหรือไม่ โพลสำนักต่างๆ ล้วนแสดงผลไปในทิศทางเดียวกันว่า คนในเครือจักรภพอังกฤษไม่ต้องการให้อังกฤษออกจากอียู
มีการทำเบร็กซิทโพลท้ังหมด 168 โพล แต่มีเพียง 16 โพลเท่านั้นที่ชี้นำว่าผลประชามติจะให้อังกฤษออกจากอียู (Leave) ที่เหลือให้อังกฤษอยู่ต่อ(Remain) ในอียูต่อทั้งนั้น แต่หลังจากการปิดหีบการโหวตประชามติ ปรากฎว่า คนอังกฤษโหวต 51.9% ให้ออกจากอียู เทียบกับ 48.1% ให้อยู่ในอียูต่อไป
ในทางการเมือง ทรัมป์กำลังต่อสู้กับฝ่ายที่มีอำนาจเดิม (Establishment) ทำให้สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น CNN, NBC, CBS, Washington Post, New York Times ฯลฯ ตั้งป้อมเล่นงานทรัมป์ด้วยการรายงานข่าว หรือวิเคราะห์ข่าวเชิงลบมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง CNN ที่ต้องการเห็นทรัมป์หลุดออกจากอำนาจ ทรัมป์มีพันธมิตรเพียงเจ้าเดียวคือ Fox News
ตอนนี้ทรัมป์กำลังเผชิญกับปัญหาที่รุมเร้าสั่นคลอนเก้าอี้ทำเนียบขาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้ากับจีน การระบาดของโคโรนาไวรัสรอบ 2 การชัตดาวน์ที่ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย มีคนว่างงานกว่า 40 ล้านคน เกิดความแตกแยกทางสังคม มีการประท้วงตามเมืองใหญ่ทั่วประเทศเพื่อเรียกร้องความเสมอภาค และการยกเลิกการเหยียดผิวสี หลังจากนายจอร์จ ฟลอยด์ คนผิวดำถูกตำรวจผิวขาวใช้กำลังเกินเหตุฆ่าตาย
ก่อนหน้าการระบาดของไวรัส ทุกคนมองว่า ทรัมป์จะลอยลำ ชนะการเลือกตั้งรอบ 2 แต่มาตอนนี้ ทุกอย่างเริ่มไม่มีความแน่นอน ยิ่งโพลออกมาตอกย้ำว่า ทรัมป์จะแพ้การเลือกต้ังต่อไบเดน ยิ่งทำให้ทรัมป์ต้องเร่งเครื่องแก้ปัญหาไวรัส คนว่างงานและทำให้เศรษฐกิจฟื้น ในขณะเดียวกันทรัมป์กำหนดท่าทีของตัวเองว่าเป็นผู้นำที่จะรักษากฎระเบียบหรือขื่อแปของบ้านเมือง ไม่เหมือนไบเดนที่ออกมาหนุนผู้ชุมนุมประท้วงที่สร้างความวุ่นวาย
ต้องจับตาดูอีกคร้ังว่า โพลจะแม่น หรือจะพลาดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่มีควา
มไม่แน่นอนสูงมากในปีนี้