โดย…ทนง ขันทอง
แบงก์ออฟอเมริกา รายงานว่า ทองคำยังคงเดินหน้าทำราคาสูงขึ้น และอาจจะสร้างสถิติสูงสุดได้ในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีรายงานการเพิ่มของตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนที่คาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการยกเลิกการชัตดาวน์แบบวีเชปต้องกลับมาคิดใหม่
ล่าสุดพอล ซีอานา (Paul Ciana) นักวิเคราะห์เชิงเทคนิคของแบงก์ออฟอเมริกา ออกมาให้ความเห็นว่า ในสัปดาห์หน้าราคาทองคำจะทดสอบระดับ 1,790-1,805 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ที่ทำเอาไว้ในปี 2012
ถ้าหากว่าสามารถฝ่าทะลุระดับนี้ได้ เป้าหมายต่อไปของแรงต้านจะอยู่ที่ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ และจะเตรียมทุบสถิติที่ทำสูงสุดเอาไว้ที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2011
ในวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา ราคาทองคำอ่อนค่าลงเล็กน้อยไปอยู่ที่ 1,763 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับราคาปิดที่ 1,779 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันก่อนหน้านั้น
ในประเทศไทย มีการกำหนดราคาซื้อที่ 25,750 บาท และราคาขายที่ 25,850 บาท ต่อทองคำ 1 บาท
ตั้งแต่ต้นปีมา ราคาทองคำสูงขึ้น 16% โดยมีแรงหนุนจากความไม่แน่นอนในการควบคุมและการป้องกันการระบาดของไวรัส รวมท้ังความตึงเครียดทางการค้าของโลก และความอ่อนแอของระบบเศรษฐกิจโลก
ถ้าหากว่าดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมาก ก็ยิ่งจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนราคาทองคำที่นักลงทุนมองว่าเป็นทรัพย์สินที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจ
ซีอานา นักวิเคราะห์ของแบงก์ออฟอเมริกา มองต่อไปว่า แรงเหวี่ยงที่ผ่านมาจะช่วยให้ราคาทองคำทำสิถิติสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ก็ได้ หลังจากนั้นเป้าหมายต่อไปจะอยู่ที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป หรือระหว่าง 2,114-2,296 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ตามรายงานของ Bloomberg ปรากฎว่า ทองคำให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ โดยทองคำให้ผลตอบแทน 26.3%
ส่วนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐให้ผลตอบแทนรองลงมาที่ 10.4% เทียบกับ US Corporte I-Grade ที่ให้ผลตอบแทน 10.1% ตลาดหุ้นS&P 500 ให้ผลตอบแทน 6.1% เงินดอลลาร์สหรัฐ ให้ผลตอบแทน 2.0% พันธบัตรไฮยิลด์ 1.6% หุ้นในตลาดเอเชียแปซิฟิก 1.2% พันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี 0.9% เงินเยนของญี่ปุ่น 0.7%
ทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนติดลบในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา คือเงินยูโร -0.5% เงินสกุลต่างๆ ของตลาดเกิดใหม่ -2.7% หุ้นของตลาดเกิดใหม่ -3.7% และราคาน้ำมันดิบฟิวเจอร์ส WTI -29.7%
ต้องดูกันต่อไปว่า ราคาทองคำจะถูกทุบหรือไม่ เพราะว่าการทำ short squeeze โดยพวกธนาคาร bullion banks เพื่อควบคุมราคาทองทำไม่ให้สร้างผลกระทบต่อความมั่นใจในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักลงทุนส่วนมากมองว่าทองคำเป็นการลงทุนที่เสียง และหลีกเลี่ยงที่จะลงทุนในทองคำในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาที่ทรัพย์สินประเภทอื่นๆ ให้ผลตตอบแทนดีกว่า