โดย…ทนง ขันทอง
ทรัพย์สินใดที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดในโลกในปีนี้? คำตอบก็คือหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา หรือรู้จักกันดีว่าหุ้นกลุ่มแฟง (FANG stocks) หรือซุปเปอร์ 6 (Super Six) ซึ่งประกอบด้วยเฟซบุ๊ก อเมซอน แอปเปิ้ล อัลฟาเบตหรือกูเกิล เน็ตฟลิกซ์ และไมโครซอฟท์
ตั้งแต่ต้นปี 2020 ถึงวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มซุปเปอร์ 6 ให้ผลตอบแทนกับนักลงทุน 48.3% นับได้ว่าเป็นผลตอบแทนที่มากที่สุดในโลก ไม่มีทรัพย์สินใดให้ผลตอบแทนระเบิดเถิดเทิงขนาดนี้ ในขณะที่โดยรวมตลาด S&P 500 ให้ผลตอบแทน -0.9%ในระยะเวลาเดียวกัน
แม้ว่าสหรัฐฯ ยังคงมีปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ยังไม่สามารถจัดการควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่นักลงทุนยังคงเทเงินลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่ดูเหมือนว่าจะอยู่กันคนละโลกกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการชัตดาวน์
ความจริง หุ้นซุปเปอร์ 6 เป็นที่กล่าวขวัญในตลาดหุ้นมาหลายปีแล้ว เพราะว่าเป็นหุ้นเทคโนโลยีที่มีขนาดมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ มีผลประกอบการที่ดี และนักลงทุนมองว่าเซ็กเตอร์เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นในอนาคต ในขณะที่เศรษฐกิจก้่าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่
นายเจฟ กุนแล็ค แห่ง DoubleLine Capital ได้ให้สัมภาษณ์กับ Yahoo Finance ในสัปดาห์นี้ว่า การที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททำแรลลี่แรงในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ก็เนื่องมาจากการฉุดกระชากลากขึ้นของหุ้นกลุ่มซุปเปอร์ 6 เป็นปัจจัยหลัก ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทอื่นๆ ในตลาดหุ้นแทบที่จะไม่มี หรือไม่มีมา 5 ปีแล้ว ถ้าหากว่าเอาหุ้นซุปเปอร์ 6 ออกไป ตลาดหุ้นแทบที่จะไม่มีอะไรเลย
นอกจากสภาพคล่องที่ล้นเหลือที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ หรือเฟดที่ใส่เข้ามาในระบบการเงิน การลงทุนของนักลงทุนรีเทลที่เข้ามาในตลาดอย่างหนาแน่นผิดปกติในช่วงล็อคดาวน์นี้ก็เป็นปัจจัยเสริมทำให้หุ้นซุปเปอร์6 ทำราคาได้สูง และตลาดโดยรวมทำแรลลี่ในไตรมาสที่ 2
ทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงอันดับ 2 ของโลก คือ ทองคำ ตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันที่ 8 กรกฎาคม ทองคำให้ผลตอบแทน 19.2% เนื่องจากนักลงทุนมองว่าทองคำเป็นสวรรค์ที่ปลอดภัยสำหรับการออมเงิน เนื่องจากดอลลาร์จะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากการดำเนินนโยบายการคลังที่ขนาดดุลมหาศาลของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้เฟดต้องเข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อประคับประคองฐานะการคลังของรัฐบาล
นอกจากนี้นโยบายดอกเบี้ย 0% ของเฟด ทำให้นักลงทุนกังวลใจในเรื่องเงินเฟ้อ การฝากเงินในธนาคารได้ผลตอบแทนน้อย หรือการลงทุนในพันธบัตรที่ยิลด์ต่ำแทบที่จะไม่ได้ผลตอบแทนอะไร ทำให้หันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น เนื่องจากทองคำเป็นหลักประกันเงินเฟ้อที่มีทิศทางสวนกับค่าเงินดอลลาร์
ทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทน อันดับ 3 คือพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทน 14.4% จากการที่นักลงทุนเข้ามาถือครองเป็นทรัพย์สินเซฟเฮเว่น ทำให้ราคาพันธบัตรสูงขึ้น
ทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนอันดับ 4 คือ Shanghai A shares ของจีนที่ให้ผลตอบแทนปีนี้ 10.8% ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ของจีนกลับมาเทรดกันคึกคัก และกำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากความเชื่อมั่นในรัฐบาลจีนที่สามารถบริหารจัดการไวรัสโคโรนาได้ รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่กำลังกลับคืนสู่ภาวะปกติ
ทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงอันดับ 5ในปีนี้ คือพันธบัตรรัฐบาลเยอรมัน (3.9%) ตามมาด้วย ML Global corporate bonds (3.7%) พันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลอิตาลี (3.2%) ทองแดง (1.3%) เยนเมื่อเทียบดอลลาร์ (1.1%) ยูโรเมื่อเทียบดอลลาร์ (0.9%) ส่วนดัชนียูเอสดอลล่าร์ให้ผลตอบแทน 0%
ทรัพย์สินของโลกที่เหลือส่วนมากให้ผลตอบแทนติดลบ ที่ติดลบมากที่สุด คือ น้ำมัน โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ให้ผลตอบ -34.4% ตามมาด้วย CRB commodities index (-23.3%) FTSE 100 (-22.4%) MSCI frontier stocks (-17.4%) Euro zone STOXX stocks (-10.2%) MSCI Emerging equities (-4.0%)