โดย…ทนง ขันทอง
แม้ว่าโลกจะเผชิญกับการระบาดของไวรัสโคโรนา แต่ตลาดโลกของอีทีเอฟกลับมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งแรกของปี 2020
ETFGI ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษา และมีสำนักงานที่กรุงลอนดอน ได้เปิดเผยผ่าน The Financial Times ในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ธุรกิจใหม่ของผู้ที่ให้บริการผลิตภัณฑ์อีทีเอฟในตลาดโลกได้เห็นการเติบโต 40% เป็นเม็ดเงิน 293,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในครึ่งแรกของปี 2020 นี้ โดยนักลงทุนส่วนมากโยกเงินลงทุนเข้าไปในอีทีเอฟทองคำ และอีทีเอฟตราสารหนี้
ทรัพย์สินของอีทีเอฟในตลาดโลก ทั้งกองทุนและผลิตภัณฑ์มีปริมาณรวมกัน 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
อีทีเอฟ ย่อมาจาก Exchange Traded Fund เป็นกองทุนเปิดที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น เพื่อให้ซื้อขายได้ทันที และสะดวกเหมือนกับหุ้น โดยมีนโยบายสร้างผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิง (passive fund) โดยสามารถลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นพันธบัตร หุ้น หรือทองคำ ฯลฯ
ในการแข่งขัน เพื่อความเป็นเจ้าของอีทีเอฟในตลาดของสหรัฐอเมริกา ปรากฎว่า แวนการ์ด (Vanguard) แซงหน้าแบล็คร็อค (BlackRock) โดยสามารถดึงเงินนักลงทุนได้ 90,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในครึ่งแรกของปี 2020 หรือ 105% สูงกว่าระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และถือว่าเป็นสถิติสูงสุดของแวนการ์ดในรอบครึ่งปีเลยทีเดียว
สาเหตุที่ธุรกิจใหม่ของอีทีเอฟบูมมาก มาจากสงครามราคาของพวกโบรกเกอร์ที่มีการตัดค่าธรรมเนียมเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด เดิมทีนักลงทุนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมทุกครั้งที่ซื้ออีทีเอฟ พอมีการแข่งขันลดค่าธรรมเนียม ก็ทำให้ธุรกิจอีทีเอฟบูม
แบล็คร็อค ซึ่งบริหารทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 7ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โกยเม็ดเงินลงทุนอีทีเอฟได้ 60,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม ถึงมิถุนายนของปีนี้ หรือลดลง 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
คู่แข่งรายอื่นๆ ต่างเห็นเม็ดเงินลงทุนในอีทีเอฟลดลง ไม่ว่าจะเป็นอินเวสโก้ ที่เห็นเม็ดเงินลดลง 61% ไปอยู่ที่ 4,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Charles Schwab ก็เห็นธุรกิจอีทีเอฟลดลง 61% เหมือนกันไปอยู่ที่ 4,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
WisdomTree ผู้จัดการกองทุนที่นิวยอร์ค ได้ปิดกองทุน passive ที่อิงดัชนีบริษัทน้ำมันในปีนี้หลายกองเนื่องจากราคาน้ำมันตกต่ำเป็นประวัติการณ์ เจอเม็ดเงินลงทุนไหลออกสุทธิจากกองทุนอีทีเอฟ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2020
ส่วนเจ พี มอร์แกนที่เพิ่งจะเข้าสู่ตลาดอีทีเอฟในปี 2017 ได้เห็นธุรกิจอีทีเอฟโตขึ้น 28.5% เป็น 8,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในครึ่งแรกของปี 2020
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจใหม่ของ ProShares ซึ่งให้บริการอีทีเอฟที่สามารถเทรดแบบกู้ยืมเงินได้ เห็นธุรกิจเติบโต 10 เท่าเป็นเม็ดเงิน 10,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะว่าความผันผวนในตลาดการเงินทำให้มีความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเพิ่มวงเงินเดิมพันในการเทรด
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตลาดอีทีเอฟบูม เพราะว่าธนาคารกลางของสหรัฐฯ หรือเฟดได้ตัดสินใจเข้ามาหนุนตลาดพันธบัตร ผ่านการลงทุนในอีทีเอฟตราสารหนี้เป็นคร้ังแรก ทำให้สร้างความมั่นใจโดยภาพรวมในตลาดอีทีเอฟมากยิ่งขึ้น และทำให้นักลงทุนโยกเงินลงทุนเข้าตลาดอีทีเอฟเพิ่มมากขึ้นหลังคำประกาศของเฟด
เนื่องจากเฟดไม่สามาถเข้าไปซื้อ หรือแทรกแซงในตลาดพันธบัตรได้โดยตรง จึงเรียกใช้บริการของแบล็คร็อคให้ช่วยซื้ออีทีเอฟตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งระดับที่ลงทุนได้ (Investment grade) ขึ้นไป เพื่อที่จะช่วยเสริมสภาพคล่องในตลาดพันธบัตรโดยรวม
นักลงทุนแห่ลงทุนในอีทีเอฟทองคำอย่างหนาแน่นเหมือนกัน ทำให้ช่วยดันราคาทองคำให้สูงกว่าระดับ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา จำนวนเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุนอีทีเอฟทองคำมีมากถึง 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในครึ่งแรกของปีนี้ เทียบกับเม็ดเงิน 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนในอีทีเอฟทองคำทั้งปี 2016