โดย…ทนง ขันทอง
ในวันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคของจีนที่บริษัทอาลีบาบาถือหุ้นอยู่ 33% ประกาศว่า จะระดมทุนผ่านการทำไอพีโอ โดยจะจดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นฮ่องกงพร้อมๆ กัน
แทนที่จะไประดุมทุนที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กในรูปของAmerican Depository Receipt (ADR) เหมือนกับบริษัท อาลีบาบา หรือ JD.com หรื่อบริษัทจีนอื่นๆ ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนระดับโลก แอนท์ กรุ๊ป เลือกที่จะทำไอพีโอที่บ้านตัวเองแทน โดยเลือกที่จะเอาหุ้นไปเทรดในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และตลาดหุ้นฮ่องกงในรูปแบบการจดทะเบียน 2 ตลาด (dual listing)
แอนท์ กรุ๊ป เพิ่งจะเปลี่ยนชื่อมาจากแอนท์ ไฟแนนเชียล เมื่อไม่นานมานี้ และมีนายแจ็ค หม่า เป็นผู้ถือหุ้นด้วย เป็นเจ้าของ Alipay ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินบนมือถือ และมีการทำธุรกิจปล่อยกู้ให้รายย่อย ให้กับธุรกิจต่างๆ รวมทั้งธุรกิจประกันภัย ปัจจุบันนี้ มีลูกค้าในจีนประมาณ 900 ล้านราย
รอยเตอร์ส รายงานว่า มีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของแอนท์ กรุ๊ป อยู่ที่ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าหากว่า แอนท์ กรุ๊ป มีการขายหุ้นไอพีโอ 10% จะทำให้สามารถระดมทุนได้ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะถือว่าเป็นการทำไอพีโอใหญ่อันดับ 3 ของโลก ตามหลังบริษัท Saudi Aramco ที่ทำไอพีโอได้เงิน 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัท อาลีบาบา ทำไอพีโอได้เงิน 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นแล้ว มูลค่าของแอนท์ กรุ๊ป จะใหญ่กว่าธนาคาร Goldman Sachs และWells Fargo ของสหรัฐฯ เสียอีก
จีนกำลังเร่งการพัฒนาตลาดหุ้นและตลาดทุนโดยรวม เพื่อที่จะลดการพึ่งพาโลกตะวันตก และรองรับศักยภาพของจีนในฐานะผู้นำโลกทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 มีการแก้กฎระเบียบใหม่ทางการเงินให้มีความคล่องตัว และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีมาตรการเปิดเสรีที่กว้างขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ
ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ตลาดหุ้นเซินเจิ้น และตลาดหุ้นฮ่องกงต่างก็มีกระดานเฉพาะสำหรับบริษัทเทคโนโลยี เพื่อที่จะสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีให้เข้ามาจดทะเบียน และระดมทุนเหมือนกับตลาด NASDAQ ของนิวยอร์กที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการดึงบริษัทเทคโนโลยีในซิลิคอน วัลเลย์ ให้เข้ามาจดทะเบียน
เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีมาตรการแซงชันจีนและกีดกันบริษัทจีนมากยิ่งขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ ทำให้บริษัทจีนลังเลใจที่จะทำธุรกิจในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการระดุมทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก อันเห็นได้จากบริษัท อาลีบาบา จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก และบริษัท JD.com ที่จะทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ ได้ตัดสินใจมาจดเบียนหุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกงอีกแห่ง เพื่อกระจายความเสี่ยงของการที่อาจจะถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ขับไล่ออกจากตลาดหุ้น
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา วุฒิสภาของสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายที่จะขับไล่ (de-list) บริษัทจีนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถ้าพบว่าบริษัทจีนมีรัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ หรือมีธุรกิจที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีบริษัทจีนจดทะเบียนในตลาดหุ้นในสหรัฐฯ ประมาณ 166 บริษัท
ด้วยเหตุนี้การระดมทุนของ แอนท์ กรุ๊ป ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และตลาดหุ้นฮ่องกงสามารถมองได้ว่า เป็นการส่งสัญญาณจากจีนว่า ได้เวลาแล้วที่บริษัทจีนเลิกพึ่งพาตลาดหุ้นของสหรัฐฯ โดยจีนจะเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและตลาดทุนเพื่อรองรับการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่จะมาลงทุนในตลาดหุ้นจีน ที่ตอนนี้มีมาร์เก็ตแคปเกือบประมาณ 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เท่านั้น
นอกจากนี้ การที่แอนท์จะระดมทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงพร้อมกัน เท่ากับเป็นการส่งอีกสัญญาณที่สำคัญว่า จีนไม่ได้ทอดทิ้งฮ่องกง ในขณะที่นักลงทุน หรือประเทศตะวันตกต่างแสดงความกังวลใจกับกฎหมายความมั่นคงฮ่องกงที่มีผลบังคับใช้แล้ว และมีการปรับเปลี่ยนนโยบายต่อจีนและฮ่องกงในเชิงลบ
การทำไอพีโอในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และตลาดหุ้นฮ่องกงพร้อมๆ กันของ แอนท์ กรุ๊ป จึงเป็นบททดสอบที่สำคัญของจีน ที่ต้องการเลิกการพึ่งพาประเทศตะวันตกในด้านแหล่งเงินลงทุนและหันมาให้ความสำคัญในตลาดบ้านตัวเองแทน
นอกจากนี้ การระดมทุนในจีนจะทำให้นักลงทุนจีนมีโอกาสได้จับจองเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทจีน แทนที่จะให้ต่างชาติได้กำไรหรือได้ประโยชน์จากการขายหุ้นในตลาดต่างประเทศ หุ้นจีนที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศไม่ได้ราคาพรีเมียมดี เนื่องจากมีอคติจากนักลงทุนต่างประเทศ ถ้าเอาหุ้นบริษัทจีนมาเทรดในตลาดจีนจะได้ราคาที่สะท้อนความจริง หรือศักยภาพของการเติบโตของบริษัทได้มากกว่า