โดย…ทนง ขันทอง
ผลประกอบการของแอปเปิ้ล อเมซอน เฟซบุ๊ก และกูเกิล ในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ดีเกินคาด สวนกระแสเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทำให้หุ้น และมูลค่าตลาดรวมของทั้ง 4 บริษัท รวมกันเพิ่มขึ้น 230,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปแตะเหนือระดับ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
อเมซอนประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ทำกำไรหลังหักภาษี 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และรายได้เพิ่มขึ้น 40% แม้ว่าก่อนหน้านี้นักลงทุนจะกังวลกับภาระ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่อเมซอนต้องแบกในการดูแลบริษัทในช่วงล็อคดาวน์จากการระบาดของไวรัส ปรากฎว่าในช่วงล็อคดาวน์ ผู้บริโภคใช้บริการของบริษัทเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เพราะว่าไม่สามารถเดินทางออกจากบ้านได้สะดวก ทำให้กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีแทนที่จะได้รับผลกระทบเหมือนบริษัททั่วๆ ไปกลับได้ประโยชน์
นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง อเมซอน มีความมั่งคั่งหุ้นมากที่สุดในโลกในเวลานี้ โดยหุ้นที่เขาถือในอเมซอน มีมูลค่ากว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แอปเปิ้ล มียอดขายไอโฟนเพิ่มขึ้น 25% ในไตรมาสที่ 2 แม้ว่าตลาดโดยรวมของสมาร์ทโฟนจะลดลง 14% ส่วนซัมซุงมียอดขายสมาร์ทโฟนลดลง 30% ในเวลาเดียวกัน และหัวเว่ย มียอดขายแซงหน้าซัมซุงไปอยู่อันดับหนึ่งของโลกแล้ว โดยขายได้ 55.8 ล้านเครื่อง แม้ว่ายอดขายของหัวเว่ยจะลดลง 5% ก็ตาม
นักวิเคราะห์บางคน บอกว่า ผู้บริโภคอเมริกันที่ได้รับเช็คเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลผ่านมาตรการ CARES Act เอาเงินไปซื้อไอโฟนทำให้รายได้ของแอปเปิ้ลเฟื่องฟู
รายได้ของเฟสบุ๊คเพิ่ม 11% ในไตรมาสที่ 2 เป็น 18,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราโตกว่าที่นักวิเคราะห์ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าจะโตเพียง 3% แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา เฟซบุ๊กถูกบอยคอตต์ จาก 1,000 แบรนด์ ของบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ ที่ต้องการให้เฟซบุ๊กแบนเฟคนิวส์ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) ท่ามกลางการประท้วงเรียกร้องการยุติการเหยียดผิวที่กำลังดำเนินอยู่ในสังคมอเมริกันในเวลานี้
นายมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก บอกว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นของเฟซบุ๊กสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทไม่ได้พึ่งพารายได้โฆษณาจากบริษัทใหญ่ แต่มีลูกค้าที่หลายหลากไม่กระจุกตัว
มีเพียงบริษัท อัลฟาเบท หรือบริษัทแม่ของกูเกิล ที่ประกาศผลประกอบการแย่กว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์อื่นๆ โดยมีรายได้ลดลง 2% ในไตรมาสที่ 2 หรือลดลงน้อยกว่าที่คาด ในขณะที่ตลาดโฆษณาทั่วโลกมีการหดตัวอย่างรุนแรง 20% ทั่วโลกจากการระบาดของไวรัส
ผู้บริหารของทั้ง 4 บริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีนี้กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากสมาชิกของสภาคองเกรสที่กำลังดำเนินการสอบสวนว่า มีอำนาจเหนือตลาด หรือผูกขาดธุรกิจ ทำให้ผู้บริษัทใหม่ หรือบริษัทอื่นๆ ไม่สามารถมาแข่งขันได้