ตลาดไฮยิลด์สหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 9 ปี

ตลาดไฮยิลด์สหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 9 ปี

โดย…ทนง ขันทอง

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ตราสารหนี้ประเภทที่มีความเสี่ยงสูง ที่เรียกว่า ไฮยิลด์ หรือจั๊งค์บอนด์ ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบเกือบ 9 ปี หลังจากที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนด้านสภาพคล่องให้ตลาดการเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจลงทุนในบริษัทที่ออกตราสารหนี้ระดับต่ำกว่าระดับอินเวสเม้นท์เกรด

บทความของ The Financial Times เรื่อง US junk bonds notch up best month since 2011 เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2020 รายงานว่า ราคาตราสารหนี้ที่สูงขึ้น และในทางตรงกันข้ามยิลด์ที่ต่ำลง ทำให้ตลาดตราสารหนี้ไฮยิลด์ให้ผลตอบแทน 4.78% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ดีที่สุดนบตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2011 เลยทีเดียว

ยิลด์ของตราสารหนี้ไฮยิลด์ ลดลงจาก 6.85% ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม มาอยู่ที่ 5.46% ในช่วงปลายเดือน ซึ่งเป็นการลดลงรายเดือนที่มากที่สุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2009 หลังจากที่ตลาดการเงินมีการฟื้นตัวจากวิกฤติอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่ายิลด์จะลดลง แต่นักลงทุนให้ความสนใจกับตราสารหนี้ไฮยิลด์ในการแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งระดับอินเวสเม้นท์เกรดให้ยิลด์โดยเฉลี่ยต่ำกว่า 2%

ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่มีการระบาดรุนแรง มีความกังวลใจว่าบริษัที่ออกตราสารหนี้ไฮยิลด์อาจจะมีปัญหาในการจ่ายหนี้ หรือผิดนัดชำระหนี้ แต่เนื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้อัดสภาพคล่องเพื่อให้การสนับสนุนตลาดเครดิตอย่างเต็มที่ ทำให้บริษัทต่างๆ สามารถระดมเงินเพื่อฟันฝ่าวิกฤติโควิด-19 ได้ แม้ว่าจะมีรายงานของการเพิ่มของการผิดนัดชำระหนี้ก็ตาม

จากข้อมูลของ Refinitiv ตั้งแต่เดือนเมษายนมาถึงปัจจุบัน บริษัทที่มีเรตติ้งต่ำกว่าอินเวสเม้นท์เกรด สามารถออกตราสารหนี้เพื่อระดมเงินได้ 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การฟื้นตัวค่อนข้างแรงทำให้ตลาดตราสารหนี้ไฮยิลด์ให้ผลตอบแทนติดลบเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบทั้งปี

ตามข้อมูลของ EPFR Global นักลงทุนได้ใส่เงินประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าตลาดไฮยิลด์ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากที่ก่อนหน้านี้มีการไถ่ถอนเงิน 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ออกจากตลาด

ตลาดไฮยิลด์ก็เหมือนกับตลาดอื่นๆ ที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องปัญหาโควิด-19 ที่ยังบริหารจัดการได้ไม่ลงตัว แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญานว่าจะดูแลตลาดเครดิตให้ทำงานต่อไปได้โดยไม่ติดขัด