โดย…ทนง ขันทอง
เหตุระเบิดที่รุนแรงสนั่นหวั่นไหวกลางกรุงเบรุส ประเทศเลบานอน ในวันอังคารที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำทำนิวไฮทะลุระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไปยืนอยู่ที่ 2,020 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ รวมทั้งราคาเงิน (silver) ที่กำลังพุ่งแรงเหมือนกัน หรืออาจจะแรงกว่าทองก็ได้ในระยะเวลาข้างหน้า
ราคาทองคำพุ่งสูงกว่า 32% ในปีนี้ ส่วนราคาเงิน (silver) พุ่งขึ้นแรงเหมือนกันกว่า 30% ขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ของเลบานอนกำลังสืบสวนของสาเหตุของการะเบิดที่รุนแรงที่ชาวบ้านออกมาบอกว่ารุนแรงเหมือนกับระเบิดนิวเคลียร์ฮิโรชิม่า โดยในเบื้องต้นรัฐบาลเลบานอนระบุว่าการระเบิดเกิดจากคลังเก็บสารแอมโมเนียม ไนเตรท ที่มีน้ำหนักรวมกัน 2,750 ตัน ที่เก็บมานาน 6 ปีแล้ว
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่า ได้รับรายงานจากเหล่าเสนาธิการทหารที่ให้ข่าวว่า น่าจะเป็นการโจมตีกรุงเบรุสด้วยระเบิดชนิดใดชนิดหนึ่ง ทางอิสราเอล รีบออกมาให้ข่าวว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กลุ่มนักรบลอิสบอเลาะห์ก็ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระเบิดเหมือนกัน
Mizuho Bank เขียนรายงานว่า เหตุระเบิดที่รุนแรงที่กรุงเบรุสเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทองคำฉายแสงเปล่งประกายมากยิ่งขึ้น โดยทำราคานิวไฮ ล่าสุดทองคำเทรดกันที่ระดับ 2,035 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนเงิน(silver) ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 26 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ซีเอ็นบีซี รายงานว่า นาย Michael Hsueh นักยุทธศาสตร์ด้านโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนของดอยช์แบงก์ได้ให้ข่าวว่า ราคาเงิน (silver) น่าที่จะพุ่งแรงกว่าราคาทองคำในระยะข้างหน้า เพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัว จะมีความต้องการใช้แร่เงิน ซึ่งมีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม
นักวิเคราะห์ของซิตี้แบงก์ มองคล้ายๆ กันว่า การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมจะทำให้ราคาเงิน (silver) ขึ้นแรงกว่าราคาทองคำ
แต่สาเหตุที่สำคัญกว่าที่ทำให้ทั้งทองคำและเงิน (silver) ทำระดับราคาสูงแบบนิวไฮ เพราะตลาดอ่านเกมว่าธนาคารกลางของสหรัฐฯ หรือเฟดจะรักษาดอกเบี้ย 0% หรือต่ำกว่าเป็นระยะเวลานานออกไปอีกหลายปี โดยจะมีการเพิ่มปริมาณเงินเพื่อสร้างเงินเฟ้อ เพื่อดึงเศรษฐกิจให้พ้นสภาวะตกต่ำ และแก้ปัญหาการว่างงานที่สูง จากผลกระทบของโคโรนาไวรัส
นอกจากนี้ เงินเฟ้อจะช่วยลดหนี้ไปในตัว และดอกเบี้ยที่ต่ำจะช่วยแบ่งเบาภาระการชำระหนี้
นายเจโรม พาวเวลล์ ประธานของเฟด จะมีการแถลงท่าทีของนโยบายการเงินที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในระยะเวลาข้างหน้า โดยที่เฟดจะรักษาพันธกิจในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ที่สำคัญ เฟดจะไม่กังวลใจมาก ถ้าเงินเฟ้อพุ่งแรงกว่า 2% เนื่องจากมีเป้าหมายที่สูงกว่า คือการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการช่วยให้เกิดมีการจ้างงานอย่างสมบูรณ์ (full employment) ในระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง
ขณะนี้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ อยู่ระดับต่ำกว่า 1% เมื่อเฟดมีจุดประสงค์ในการปั๊มเงินเพื่อสร้างเงินเฟ้อ นักลงทุนจึงเห็นพ้องต้องกันในหันมาลงทุนในทองคำ หรือเงิน (silver) ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นเซฟเฮเว่นที่ช่วยเห็นหลักประกันความเสี่ยงของเงินเฟ้อ
นักวิเคราะห์มองว่า ทั้งเงิน (silver) และทองมีโอกาสทำราคาสูงขึ้นไปอีก จนกว่าภาพของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะชัดเจนยิ่งขึ้น หรือมีการประกาศใช้วัคซีนโควิด-19 อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นแรงสกัดแรงเหวี่ยงของการทำราคาขึ้นของเงินและทอง