โดย…ทนง ขันทอง
ราคาทองคำถูกเทขายทำกำไร ปรับฐานลงมาอย่างรุนแรงในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีการตั้งคำถามว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่?
ในวันอังคารที่ 11 สิงหาคม ราคาทองคำร่วงวันเดียว 5% ไปอยู่ที่ 1,927 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ปี 2013
ระดับราคานี้ต่ำกว่าสถิติสูงสุด 2,089 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ทำในวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม อย่างเทียบกันไม่ได้
วันต่อมาคือวันพุธที่ 12 สิงหาคม สถานการณ์ยังคงผันผวนต่อเนื่อง โดยราคาร่วงต่อลงไปที่ระดับ 1,876 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก่อนที่จะดีดตัวกลับไปที่ 1,917 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงบ่าย
ในวันนี้ (13 สิงหาคม) ราคาทองคำปรับตัวเร็วไปอยู่ที่ 1,934 ดอลลาร์สหรัฐ ในตลาดทองคำบ้านเรา ราคาเสนอซื้อที่ 28,300 บาท ส่วนราคาเสนอขาย 28,400บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท หลุดระดับ 30,000 บาท ในช่วงสัปดาห์ก่อนไปไกล
นาย Gary Wagner บรรณาธิการของ theGoldForecast.com ให้สัมภาษณ์กับKitco News ว่า มีการตั้งคำถามว่า ราคาทองคำที่ร่วงลงมาอย่างรุนแรงมาจากการปรับฐานระยะสั้น หรือระยะยาว แต่โดยส่วนตัวเขาเชื่อว่า ทองคำถูกเทขายทำกำไรมากกว่า
เขา เชื่อว่า ทองคำยังคงมีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน เนื่องจากภาพของด้านมหภาคยังไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และนโยบายการเงินที่ผ่านคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ
เขา กล่าวเพิ่มเติมว่า การขายทองคำเมื่อต้นสัปดาห์นี้อย่างรุนแรงไม่ใช่เหตุการณ์ด้านมหภาค แต่มาจากการที่ตลาดทองคำมีความหนาแน่นมากเกิน ทำให้มีการเทขายทำกำไร
แต่ Vivek Dhar นักวิเคราะห์จาก Commonwealth Bank of Australia มองว่า ปัจจัยที่สนับสนุนการขายทองคือยิลด์พันธบัตรที่สูงขึ้น และข่าวดีของการค้นพบไวรัสป้องกันโควิด-19 ทำให้นักลงทุนมีความหวังในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้นจาก 92 เป็น 93 ในดัชนีเงินยูเอสดอลลาร์ (US Dollar Index)
แม้จะเชื่อว่าปัจจัยทางด้านมหภาคยังคงหนุนตลาดทองคำที่ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่เป็นเซฟเฮเว่น แต่ในด้านด้านเทคนิคแล้ว นายWagner แห่ง theGoldForecast.com เชื่อว่า ราคาทองคำสามารถลงต่อไปได้อีกไปที่ระดับ 1,849 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และถ้าหลุดระดับนี้ไปแล้ว อาจจะร่วงต่อถึงระดับ 1,773 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็เป็นไปได้