โดย…ทนง ขันทอง
ธนาคารกลางของจีน (The People’s Bank of China) ได้ออกรายงานประจำปีว่า มีหลายประเทศใช้เงินหยวนในการชำระเงินข้ามพรมแดนมากขึ้น ทำให้แนวโน้มมีความเด่นชัดยิ่งขึ้นว่าเงินหยวนจะเป็นเงินสกุลหลักระหว่างประเทศ หลังจากที่เงินหยวนเข้าไปอยู่ในตะกร้าเงินของไอเอ็มเอฟในปี 2015
รายงานประจำปีของธนาคารกลางจีน ระบุว่า ในปี 2019 ที่ผ่านมา ปริมาณของการใช้เงินหยวนในการชำระเงินข้ามพรมแดน และการทำธุรกรรมของแบงก์ให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้น 24.1% เป็น 19.67 ล้านล้านหยวน หรือ 2.83 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนปริมาณการใช้เงินหยวนเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น 1.95% ทำให้เงินหยวนขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 5ในการใช้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
ในขณะเดียวกัน ส่วนแบ่งการตลาดของเงินหยวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ระดับ 4.3%
รายงานประจำปี กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำเซอร์เวย์ของBank of China พบว่า 69% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 3,300 ราย ที่เป็นตัวแทนของบริษัททางด้านอุตสาหกรรมและการค้า ได้ตอบว่า มีแผนการที่จะเพิ่มการใช้เงินหยวนในการทำธุรกรรมด้านการเงิน
ดัชนี Yuan Internationalisation Index ที่ทางมหาวิทยาลัย Renmin จัดทำเมื่อเดือนที่ผ่านมา ระบุว่า การใช้เงินหยวนเพิ่ม 13%ในปีที่แล้วเป็น 3.03% ของการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศทั้งหมด ซึ่งยังคงตามหลังเงินดอลลาร์สหรัฐที่ 50.85% และเงินยูโรที่ 26.28%
ธนาคารกลางจีน กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการลดอุปสรรคของการใช้เงินหยวนข้ามพรมแดน พร้อมกับการเปิดตลาดการเงินให้กับนักลงทุนต่างประเทศ และการสนับสนุนการพัฒนาตลาดหยวนออฟชอร์
นอกจากนี้ ประเทศที่เข้ามาร่วมโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ (Belt and Road Initiative) เขตการค้าเสรีปลอดภาษี และเขตเศรษฐกิจพิเศษปากแม่น้ำไข่มุกของกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊าจะมีศักยภาพของการใช้เงินหยวนอย่างเติบโตเป็นพิเศษ
หลังจากที่จีนได้เปิดดำเนินการระบบชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน (cross-border interbank payment system)ในปี 2015 ปรากฎว่าในตอนนี้มีประเทศเข้าร่วมใช้บริการมากเกือบ 100 ประเทศ
ในปี 2019 ระบบชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดนของจีน มีการใช้บริการไปแล้ว 1.9 ล้านธุรกรรมของเงินหยวน โดยเพิ่ม 31% จากปี2018 ในขณะที่ปริมาณการทำธุรกิจเพิ่ม 28% เป็น 33.9 ล้านล้านหยวน
นาย Yi Gang ผู้ว่าธนาคารกลางของจีน กล่าวว่า แนวโน้มของการพัฒนาเงินหยวนเป็นเงินสกุลหลักของการทำธุรกรรมระหว่างประเทศเป็นไปด้วยดี เพราะว่าจีนส่งเสริมเรื่องนี้อย่างเต็มที่ พร้อมกับเตรียมเปิดเสรีบัญชีดุลชำระเงินของประเทศ