โดย…อรพรรณ บัวประชุม CFP®
ช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าร้านทองคึกคักมาก คนเข้าเต็มร้าน ไม่ว่าจะที่เยาวราชหรือในห้างสรรพสินค้า ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปซื้อทองกันนะคะ แต่เข้าไปขาย!!! เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นราคาทองคำทะลุ 30,000 บาทเลยค่ะ ใครที่ไม่เคยสนใจทอง ตอนนี้เชื่อเหลือเกินว่าต้องรื้อค้นที่บ้านกันแล้วว่ามีทองอยู่เท่าไหร่ จะขายเลยดีมั้ย เพราะกลัวทองจะลง เหมือนในช่วงปี 2554 ที่ทองคำขึ้นมาประมาณ 27,000-28,000 บาท/น้ำหนัก 1 บาท แล้วก็ทยอยปรับตัวลดลงไป คนที่ไม่เคยสนใจทองก็เข้ามาซื้อ เข้ามาขาย บางคนซื้อแล้วขายไม่ได้ เพราะทองปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว กลัวจะขาดทุน ก็อดทนถือกันมาเรื่อยๆ จนช่วงนี้เห็นทีได้จังหวะทองขึ้นก็รีบเอาออกมาขายกัน
นอกจากทองคำแล้ว ยังมีสินทรัพย์อื่นๆ ที่น่าสนใจ เรามาลองดูสถิติย้อนหลังกันค่ะ
จากข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูล ณ วันทำการสุดท้ายของแต่ละปี เราจะเห็นว่าสินทรัพย์เพื่อการลงทุนมีหลากหลาย แต่ไม่มีสินทรัพย์ใดเลยที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดตลอดเวลา สินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงก็มีโอกาสทำให้เราขาดทุนได้สูงด้วย หากใครที่อยากลงทุนในสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว เมื่อเห็นกราฟนี้ก็คงคิดว่าลงทุนในหุ้นไทยน่าจะได้ผลตอบแทนสูง ในขณะที่หากเจ็บตัวคงเจ็บไม่มาก เพราะเท่าที่เห็นแค่ประมาณ 11% เท่านั้นเอง ซึ่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นผลตอบแทนเพียง 11 ปีย้อนหลังเท่านั้น หากย้อนหลังไปมากกว่านี้อีกสัก 2-3 ปี คงได้เห็นหุ้นไทยที่ติดลบเกินกว่า 50% และถ้าหากขยับต่อไปอีก 5 เดือนข้างหน้าเราก็จะได้เห็นผลตอบแทนปี 2563 นี้ว่าจะเป็นอย่างไร ใช่อย่างที่คาดกันหรือไม่
หากมองย้อนหลังไปแค่ 2 ปีที่แล้ว (ปี 2561) หุ้นไทยเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 1,838.96 จุด ในวันที่ 24 มกราคม 2561 และในวันที่ 24 มีนาคม 2563 หุ้นไทยปิดที่ 1,033.84 จุด ถ้าดูแบบนี้ใครที่ลงทุนในวันนั้น มาถึงวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา อาจถึงกับจุกไป เพราะ SET Index ปรับตัวลดลงมาถึง 43% หายไป 805.12 จุด ใครที่มีประสบการณ์การลงทุนมาบ้าง อาจทยอยซื้อเพิ่ม เพราะเห็นโอกาสการลงทุนมาถึงแล้ว แต่ที่เด็ดไปกว่านั้น คือคนที่มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อย่างหลากหลาย เพราะเห็นโอกาสการเติบโตของสินทรัพย์หลายๆ อย่าง และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน อย่างเช่น ทองคำ สินทรัพย์โภคภัณฑ์ที่กำลังเป็นขวัญใจของใครหลายๆ คนในช่วงนี้ สมกับคำกล่าวที่ว่า “มีเงินเรียกน้อง มีทองเรียกพี่” ใครที่สวมสร้อยคอน้ำหนัก 1 บาท ราคาแทบจะเหยียบ 30,000 บาท ใครที่สวมสร้อย 2 บาท ยิ่งน่าหวาดเสียว เหมือนพกเงินครึ่งแสนออกมาเดินเที่ยวด้วย
จากเหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมาและยังปรากฏอยู่ตอนนี้ นั่นก็เป็นเพราะ ไม่มีใครรู้ว่ามูลค่าของสินทรัพย์ลงทุนจะเป็นยังไง จะขึ้นจะลงเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือ หากเรามีการลงทุนมากกว่า 1 อย่าง ก็จะช่วยกระจายความเสี่ยงไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย อย่างในปี 2563 นี้ ใครที่แบ่งเงินลงทุนในหุ้นไทยครึ่งนึง ลงทุนในทองคำอีกครึ่งนึง ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 ก็จะไม่เจ็บตัวมาก เพราะในช่วงที่ผ่านมา หุ้นไทยปรับตัวลดลง ส่วนทองคำปรับตัวสูงขึ้น
แน่นอนค่ะ ถ้ารู้ก่อน ปีนี้คงไม่มีใครลงทุนในหุ้นไทย คงหันมาลงทุนในทองคำกันหมด แต่เพราะไม่มีใครรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ดังนั้น การกระจายการลงทุนจึงช่วยลดความผันผวนลงไปได้ ช่วยลดการขาดทุนจากการลงทุนลงไปได้ ยิ่งมีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนมากขึ้น ก็ยิ่งกระจายการลงทุนได้มากขึ้น หลากหลายขึ้น
ดังนั้น การลงทุน ไม่จำเป็นต้องลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงอย่างเดียว มีสินทรัพย์ให้เราเลือกลงทุนอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ พันธบัตร ทองคำ อสังหาฯ หรือเราอาจลงทุนแบบเจาะจงลงไป เช่น หุ้นต่างประเทศกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสุขภาพ ฯลฯ เพียงแค่ว่าสัดส่วนที่เราจะลงทุนในอะไรนั้นต้องเหมาะกับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้
รู้อย่างนี้แล้ว อย่ามัวรอช้า หันมาดูพอร์ตของตัวเองกันดีกว่าค่ะ ว่าเรามีการกระจายการลงทุนในอะไรบ้าง สัดส่วนเท่าไหร่ หากยังไม่มีการกระจายการลงทุน ลองดูกองทุนที่มีการกระจายการลงทุนมาแล้ว อย่างกองทุนผสม ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ