โดย…ทนง ขันทอง
หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าตลาดหุ้นโลก เพราะว่าเซกเตอร์นี้มีมูลค่ามากกว่าตลาดหุ้นของยุโรปทั้งหมดรวมกัน
ในวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา BANK OF AMERICA GLOBAL RESEARCH เขียนรายงานว่า เป็นครั้งแรกที่มูลค่าตลาดรวมของเซกเตอร์เทคโนโลยีในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แตะระดับ 9.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่ามูลค่ารวมของตลาดหุ้นยุโรป ที่รวมทั้งตลาดหุ้นอังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 8.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปี 2007 ตลาดหุ้นยุโรปรวมกัน มีมูลค่ามากกว่าเซกเตอร์เทคโนโลยีของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประมาณ 4 เท่า
โดยภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการเติบโตมากกว่าตลาดหุ้นยุโรปอยู่แล้ว นับตั้งแต่ปี 2010 ตลาดหุ้น S&P 500 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 200% ในขณะที่ตลาดหุ้น EURO STOXX 50 เพิ่มขึ้นเพียง 13.4% และตลาดหุ้นอังกฤษ FTSE 100 เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 11%
ส่วนตลาดหุ้นของจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นรวมกันมีมูลค่ารวมประมาณ 9- 10 ล้านล้านดอลาร์สหรัฐ
มูลค่าตลาดรวมใช้ในการวัดราคาหุ้นของบริษัท โดยไม่นับรวมหนี้สิน แต่ในขณะเดียวกันบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ มีธุรกิจในตลาดระหว่างประเทศที่ใหญ่ และไม่ได้มีรายได้ทั้งหมดมาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างเดียว
หุ้นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังที่ผ่อนคลายของธนาคารกลาง และรัฐบาลสหรัฐฯ ที่พยายามประคองเศรษฐกิจไม่ให้ถลำลึกเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรงจากผลกระทบของโคโรนาไวรัส ทำให้เกิดปัญหาของความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่งอย่างรุนแรงในสังคมคนอเมริกัน
หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ มีอิทธิพลอย่างสูงในตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทแอปเปิ้ล ไมโครซอฟท์ อัลฟาเบท อเมซอน และเฟซบุ๊ก ที่เป็นตัวนำตลาดในเวลานี้ ทั้ง 5 บริษัทนี้มีสัดส่วนเท่ากับ 17.5% ของตลาด S&P 500 ในเดือนมกราคมปีนี้ แต่ว่าในตอนนี้ สัดส่วนได้เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 20% ของตลาด S&P 500 เนื่องจากนักลงทุนโยกเงินเข้ามาในเซกเตอร์เทคโนโลยีในช่วงการระบาดของไวรัส เพราะเชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้จะมีอนาคตดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ
บริษัท อเมซอน มีการเติบโตมากที่สุดในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อเมซอนกลายเป็นผู้นำในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในทศวรรษที่ 1990S แต่ธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งทำให้หุ้นของอเมซอนเติบโตแบบก้าวกระโดด
ราคาหุ้นของอเมซอนในสัปดาห์ที่แล้วสูงกว่าราคาหุ้นในเดือนสิงหาคมปี 2010 ถึง 20 เท่า ทำให้ความมั่งคั่งของนายเจฟฟ์ เบซอส พุ่งทะลุระดับ 200,000 ล้านดอลลร์สหรัฐ และถือว่ารวยหุ้นมากที่สุดในโลก
ส่วนนายอีลอน มัสก์ รวยหุ้นเร็วที่สุดในเวลานี้เหมือนกัน เพราะว่าความมั่งคั่งในหุ้นที่ถือในบริษัทเทสลาเพิ่มเหมือนกับติดจรวดทำให้เขามีความมั่งคั่งมากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ