ใกล้สิ้นปีเข้ามาทุกทีแล้ว สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหากองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ล่าสุดกองทุนบัวหลวงเพิ่งจะเปิดตัว “กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีนเอแชร์เพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ B-CHINAARMF โดยเสนอขาย IPO ระหว่างวันที่ 28 ต.ค. – 3 พ.ย. กองทุนบัวหลวงเสนอขาย IPO กองทุน B-CHINAARMF วันที่ 28 ต.ค. – 3 พ.ย. นี้ เปิดทางเลือกให้คว้าโอกาสลงทุนหุ้นแผ่นดินจีน พร้อมลดหย่อนภาษีนี้ ส่วนลักษณะพิเศษกองทุนนี้จะมีอะไรบ้างวันนี้ คุณวสุ ศรีธิมาสถาพร Product Manager กองทุนบัวหลวง จะมาเล่าให้ฟัง
- กองทุนนี้มีจุดเด่นอย่างไรบ้าง
เริ่มจากตลาดประเทศไทยก่อน ปีนี้นอกจากกองทุนตลาดเงิน (Money Market fund) กองทุนประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ลงทุนในหุ้นจีน และเม็ดเงินที่เข้ามามากที่สุดในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา คือ กองทุนหุ้นจีน A-Shares สะท้อนถึงความต้องการของลูกค้าที่มีมาก
ขณะที่กองทุนบัวหลวงมีความเชื่อมั่นกับการลงทุนในจีนมาเกือบ 3 ปีแล้ว โดยเรามีการเปิดขายกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) เมื่อเดือน มี.ค. 2561 ซึ่งกองทุนนี้ลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนอยู่ในทุกตลาด (All China Equity Fund)
ในตอนนั้นเอง เราเล็งเห็นแล้วว่าจีนจะมีอิทธิพลในเวทีโลกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจีนก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าจีน ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก ก็จะต้องมีอันดับ 1 ณ ปัจจุบันคอยท้าทายอำนาจอยู่ แต่ด้วยความมั่นใจของเรา และจากการที่เราได้ไปทำ Due Diligence (ตรวจสอบวิเคราะห์กิจการ) กับกองทุนหลักในต่างประเทศ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า จีนเป็นโอกาสที่มองข้ามไม่ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการจะได้รับโอกาสเติบโตจากการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศที่เป็นกองทุนรายประเทศ
- ส่วนใหญ่เราจะเลือกกองทุนเปิดทั่วไปที่มีอยู่แล้วมาเปิดกองทุน RMF ทำไมจึงเลือกกองทุนหุ้นจีน
ถ้าเป็น B-CHINE-EQ กับ B-CHINAARMF จะมีความแตกต่างกัน โดย B-CHINE-EQ ซึ่งเป็นกองทุนเปิด จดทะเบียนเป็นกองทุนรวมตราสารทุน ลักษณะการลงทุนจึงเปิดกว้าง สามารถซื้อหน่วยลงทุนหรือลงทุนในหุ้นจีนโดยตรงได้ทั้งในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-Shares) ฮ่องกง (H-Shares) หรือหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ (US-ADR) แต่กอง B-CHINAARMF นี้ จะลงทุนเฉพาะหน่วยลงทุนที่เป็น A-Shares เท่านั้น ผ่านกองทุนหลักของพันธมิตร Allianz Global Investors (AGI)
ทั้งนี้ จากการที่เราเคยไปทำ Due Diligence ที่ฮ่องกงเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน จะเห็นได้ว่า ในพอร์ตของกองทุน B-CHINE-EQ ก็มีหน่วยลงทุนของกองทุน Allianz China A Shares อยู่ ตั้งแต่ที่เราจัดตั้งกอง
ส่วนสาเหตุที่เรามั่นใจว่าจะต้องมีกองทุนหุ้นจีน A-Shares ที่เป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ก็เพราะเราเห็นแล้วว่ากลุ่มอุตสาหกรรมหลายๆ กลุ่ม ที่จีนมองเป็นกลุ่มซึ่งมีศักยภาพการเติบโต ส่วนใหญ่จะมีการกระจายตัวจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น A-Shares ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจการบริโภค ชุดกีฬา เครื่องสำอางค์ รวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น 5G การเรียนรู้ด้วยเครื่อง (Machine Learning) หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI)บริษัทที่มีโอกาสเติบโตกลุ่มนี้มีอยู่ใน A-Shares ค่อนข้างมาก
ที่ผ่านมาจีนกับสหรัฐฯ มีการฟาดฟันกันอยู่เรื่อยๆ เช่น กดดันด้วยการปิดสถานทูต สถานกงสุลของอีกฝ่าย ซึ่งเรามองว่าพัฒนาการในการกระทบกระทั่งกันระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะเป็นเรื่องระยะยาว ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าจีนเองต้องคิดแล้วว่า หากต้องการเติบโตในอนาคต จะต้องเน้นที่จุดแข็งที่มีอยู่แล้ว โดยจุดแข็งก็คือ การบริโภคในประเทศ เนื่องจากจีนมีประชากรถึง 1,400 ล้านคน เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
- เรียกว่ากองทุนนี้เหมือนลงทุน 1 ได้ถึง 2 คือได้โอกาสการเติบโตของการลงทุนในหุ้นจีนและได้โอกาสลดหย่อนภาษีด้วย คราวนี้มาเจาะลึกมากขึ้นว่า เมื่อจีนมีประชากรในประเทศจำนวนมาก แล้วบริษัทที่อยู่ใน A-Shares ส่วนใหญ่แล้วได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศหรือไม่
A-Shares คือหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดของเขาเอง ก็คือ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และตลาดหุ้นเซินเจิ้น ในรูปของสกุลเงินหยวน บริษัทเหล่านี้ รายได้หลักๆ ของบริษัทประมาณ 90% เป็นอย่างน้อย มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการให้ประชาชนที่อยู่ในประเทศ นั่นคือเหตุผลว่า เมื่อสหรัฐฯ มีประเด็นกับจีน ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และจีนขยับเน้นการบริโภคในประเทศ กลายเป็นเครื่องสำอางค์ที่จำหน่ายในร้านปลอดภาษี ที่เป็นของบริษัทยุโรป หรือญี่ปุ่น กลับมีลูกค้าน้อยลง แต่คนจีนหันมาซื้อสินค้าที่เป็นแบรนด์ในประเทศมากขึ้น เพราะเขามีความรักชาติขึ้นมา
อีกประเด็นก็คือ สงครามแห่งความอยู่รอดทางเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ปรากฎว่าหุ้นจีนเองก็ไปเกาะติดโอกาสตรงนี้ เช่น ระบบสื่อสารโทรคมนาคม 5G รวมถึง AI หรือ Machine Learning รวมถึงช่วงที่มีโควิด-19 ช่วงต้นปี วัคซีนในประเทศที่ผลิตได้ ก็มาจากบริษัท ไบโอเทคโนโลยีที่จดทะเบียนอยู่ใน A-Shares เช่น Sino Pharma ซึ่งผลิตวัคซีนได้เป็นเจ้าต้นๆ ของโลก
ทั้งนี้ต้องบอกว่าหุ้นจีน A-Shares เป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ซื้อขายจะเป็นนักลงทุนรายย่อยในประเทศ ประมาณ 80-85% แต่ต้องบอกว่า ก็เป็นข้อดีของกองทุน Active Fund (กองทุนที่ผู้จัดการพยายามทำผลตอบแทนให้เอาชนะค่ามาตรฐานให้ได้มากที่สุด) ที่เราเลือก เพราะว่ากองทุน Active Fund จะไปเลือกหุ้นที่มีความมั่นใจไม่เกิน 40-60 บริษัท จากบริษัทจดทะเบียนในตลาด A-Shares ที่มีกว่า 3,800 บริษัท เรียกว่ามีการเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่คัดสรรมาแล้ว
นอกจากนี้ เวลาที่เรา Due Diligence ที่ฮ่องกง เราก็มีการเปรียบเทียบกับกองทุนหลักอื่นๆ ที่เป็นของกองทุนคู่แข่งในประเทศไทย ซึ่งเราเข้าไปถามในระดับ Stock level ซึ่ง AGI มีทีมวิจัยภาคสนาม ที่ให้เด็กอาชีวะคอยไปสำรวจหน้าร้าน โรงงาน คอยดูเทรนด์ต่างๆ รวมถึง อี-คอมเมิร์ซ
นอกจากนี้เรายังไปถามในระดับ Stock Level ที่เป็นหุ้น 5 อันดับต้นๆ ว่า ทำไมทีมงาน AGI มีมุมมองที่แตกต่างไปจากค่ายอื่นๆ ที่เป็นกองทุนหลักของกองทุนในประเทศไทย ซึ่งก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กองทุน B-CHINE-EQ ของเราสามารถทำผลการดำเนินงานได้โดดเด่นจนขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มกองทุนหุ้นจีนของอุตสาหกรรม
ตอนที่เราไปพูดคุยกับ AGI เรามีการถามเทรนด์บางเรื่องที่เป็นเทรนด์อนาคตมาก AGI มองได้ทะลุปรุโปร่งในเรื่องนี้เลยใช่หรือไม่
ตั้งแต่ปลายปี 2560 ที่ได้เดินทางไปฮ่องกงกับทีม Product Development เราก็ได้มีการไปสอบถามถึงเทรนด์ที่ฝั่งสหรัฐฯ เกิดขึ้นแล้ว แต่เอเชียยังไม่เคยมีใครพูดถึงเลย เช่น เปโตรหยวน หรือการชำระเงินค่าน้ำมันเป็นเงินสกุลหยวน หรือเรื่องเทคโลยี Virtual Reality (VR) และ Augment Reality (AR) รวมถึงเงินหยวนดิจิทัล และคริปโตเคอเรนซี ซึ่งประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา คำพวกนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในตลาดไทย แต่ผู้จัดการกองทุนของ AGI กลับพูดได้เห็นภาพของแนวโน้มธุรกิจ รวมถึงทำให้เห็นชัดเจนขึ้นว่า เวลานี้แนวโน้มแต่ละอย่างอยู่ในระยะที่เท่าไหร่ ทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะพูดคุยกับเขาต่อ และสัมภาษณ์ในเชิงลึกเพื่อดูความพร้อมของทีมงาน AGI ในการเป็นพันธมิตรกับเรา
- เรามองว่าตลาด A-Shares มีความผันผวน แล้วการลงทุนระยะยาวจะเข้ามาช่วยลดเรื่องนี้ได้หรือไม่
จะดีอย่างมาก หากนักลงทุนสามารถลงทุนต่อเนื่องได้ทุกเดือนผ่านการซื้อหน่วยลงทุนอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน หรือว่าอาจจะรอจังหวะที่หุ้นจีนมีการปรับตัวลดลง นั่นคือจังหวะที่คุณจะแสวงหาโอกาสการเติบโตในระยะยาว คือเป็นโอกาสของการเพิ่มสัดส่วนหุ้นจีนในพอร์ตลงทุน เพราะการลงทุนในจีนเป็นโอกาสที่มองข้ามไม่ได้เลย ถ้าเทียบศักยภาพที่จีนมี และถ้าดูใน MSCI All Country World Index (MSCI ACWI) จะพบว่า หุ้น A-Shares ยังมีน้ำหนักอยู่ไม่ถึง 3% ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนเทียบโลก เวลานี้ก็เกือบ 20% แล้ว เพราะฝั่งประเทศตะวันตกมีปัญหาเรื่องการจ้างงานอยู่ และจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็เพิ่มขึ้น ในขณะที่จีนฟื้นเร็ว จึงทำให้สัดส่วนจีดีพีของจีนเทียบโลกเวลานี้เริ่มดีขึ้นมา ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะขับเคลื่อนให้มีการลงทุนในจีนเพิ่มขึ้น
มีอีกปัจจัยสำคัญที่อยากจะฝากผู้ลงทุนไว้คือ เวลาที่เราลงทุนหุ้น เราคาดหวังว่าเราจะมีกำไรส่วนเกินทุน ซึ่งตัวนี้จะมีเรื่องของ MSCI Emerging Markets Index ที่เขามองว่าจีนมองข้ามไม่ได้ และจะมีการเพิ่มน้ำหนักอยู่ในดัชนี ซึ่งก็แน่นอนว่าอาจจะต้องใช้เวลาระยะกลางถึงระยะยาว แต่ในที่สุดแล้ว ก็จะทำให้นักลงทุนทั่วโลกที่เป็นกลุ่มลงทุนเชิงรับ (Passive Fund) ซึ่งมุ่งทำผลการดำเนินงานให้ได้ตามดัชนี ก็จะต้องกระจายสัดส่วนเงินลงทุนเข้าไปอยู่ใน Index Fund ให้มีความสมเหตุสมผลกับมูลค่าตลาดของจีนเมื่อเทียบกับโลกเช่นกัน
- กองทุนนี้เป็น RMF กองแรกในประเทศไทยที่ลงทุนเฉพาะหุ้นจีน A-Shares ใช่หรือไม่
ในตลาดบ้านเรา RMF ที่ลงทุนรายประเทศ แล้วลงทุนในหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ปัจจุบันเองยังไม่มีการลงทุนใน A-Shares 100% กองทุนบัวหลวงถือเป็น Innovator Product คือเป็นเจ้าแรกในอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่แล้วที่อื่นๆ จะเป็น การลงทุนใน H-Shares และ US-ADR ดังนั้นถ้านักลงทุนมองว่า แม้ A-Shares จะเป็นตลาดที่มีความผันผวน แต่มีศักยภาพเติบโตในระยะกลางและระยะยาว และคิดว่าจะซื้อ 1 ได้ 2 คือ ได้ทั้งโอกาสเติบโตจากการลงทุน และการลดหย่อนภาษี แนะนำให้ซื้อหน่วยลงทุนกับค่ายเรา และก็มั่นใจได้ว่ากระบวนการคัดเลือกกองทุนหลักที่เข้มงวดของเราเองจะเป็นเหมือนด่านแรกที่ปกป้องผู้ถือหน่วยรายย่อยได้เป็นอย่างดี