“สถานการณ์ความตึงเครียงของสองประเทศยักษ์ใหญ่ สหรัฐกับจีนตึงเครียดมากยิ่งขึ้น หลังรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ไมค์ ปอมเปโอ (Mike Pompeo) เดินสายสานสัมพันธ์กับเหล่าประเทศขนาดกลางและเล็ก โดยจีนมองว่าเป็นการบีบบังคับให้ประเทศเหล่านั้นเลือกข้าง”
ก่อนหน้านี้สหรัฐได้เดินหน้าหา ‘วิธีใหม่’ ในการร่วมมือกับอินโดนีเซีย เสริมสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์-เศรษฐกิจท่ามกลางความตึงเครียดกับจีน โดยรายงานข่าวจากรอยเตอร์สระบุว่า ปอมเปโอ กล่าวเมื่อวานนี้ว่าวอชิงตันพร้อมหาวิธีใหม่ในการร่วมมือกับอินโดนีเซียแถบทะเลจีนใต้และเคารพความพยายามของอินโดนีเซียในการปกป้องน่านน้ำของตนเอง ในขณะที่ปฏิเสธการกล่าวอ้างสิทธิที่ “ผิดกฎหมาย” จากจีนในพื้นที่นี้
การเยือนอินโดนีเซียของปอมเปโอเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนของ 5 ชาติในเอเชีย ซึ่งเขาพยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐกับจีน
ในการแถลงข่าวร่วมกับ รัฐมนตรีต่างประเทศของอินโดนีเซียเร็ตโน มาร์ซูดี (Retno Marsudi) คู่หูชาวอินโดนีเซียของเขา เขายกย่อง “การดำเนินการขั้นเด็ดขาด” ของจาการ์ตาเพื่อปกป้องอธิปไตยในน่านน้ำใกล้หมู่เกาะนาทูนา (the Natuna Islands) ซึ่งจีนอ้างว่าเป็นดินแดนของตนด้วย
ปอมเปโอกล่าวในการแถลงข่าวแบบสตรีมหลังจากการประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอินโดนีเซียว่า การอ้างสิทธิของจีน “ผิดกฎหมาย” เขายังกล่าวอีกว่ารอคอยที่จะร่วมมือกันในรูปแบบใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาความปลอดภัยทางทะเลจะปกป้องเส้นทางการค้าที่เรียกได้ว่าพลุกพล่านที่สุดในโลกเส้นทางนึงก็ว่าได้
ขณะที่สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวตอบโต้ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่สหรัฐกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพยายามบีบบังคับให้ประเทศขนาดเล็กและกลางเลือกข้าง
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า “เป็นเรื่องปกติที่เจ้าหน้าที่สหรัฐบางกลุ่มจะบีบบังคับให้ประเทศขนาดเล็กและกลางเลือกข้าง” โดยเป็นการแสดงความเห็นกรณีไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เดินทางเยือนศรีลังกา โดยก่อนหน้าการเดินทางเยือนครั้งนี้ของปอมเปโอ มีรายงานว่าสหรัฐฯ อาจเรียกร้องศรีลังกาทำการตัดสินใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับจีน
ทางโฆษกเน้นย้ำว่าจีนและศรีลังกาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรต่อกันมายาวนาน โดยกล่าวว่า “ทั้งสองประเทศได้พัฒนาความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี ยึดมั่นหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ 5 ประการ และร่วมมือกันบนพื้นฐานของความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งได้ช่วยให้ความเป็นอยู่ของชาวศรีลังกาดีขึ้นมาก