สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เผยว่า สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีกับชิ้นส่วนเครื่องบินและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของฝรั่งเศสและเยอรมนี นับตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค. นี้เป็นต้นไป หลังจากล้มเหลวกับการแก้ไขข้อพิพาท 16 ปี เรื่องการอุดหนุนอุตสาหกรรมเครื่องบินกับสหภาพยุโรป
ข้อมูลนี้ ถูกส่งแจ้งให้ผู้ขนส่งทราบเมื่อช่วงดึกวันจันทร์ที่ผ่านมา เป็นหนังสือที่ออกโดยฝ่ายศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ ที่ระบุว่า แนวทางใหม่นี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก หรือเวลา 5.01 น. ตามเวลามาตรฐานสากล ของวันอังคาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้มาอย่างยาวนานระหว่างการที่รัฐบาลอุดหนุนบริษัท แอร์บัส ของยุโรป กับคู่แข่งในสหรัฐฯ อย่างโบอิ้ง
การส่งหนังสือนี้เกิดขึ้นตามหลังการประกาศของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่ระบุว่า จะจัดเก็บภาษีเพิ่ม 15% กับชิ้นส่วนเครื่องบิน ได้แก่ ส่วนประกอบลำตัวและปีก และเก็บภาษี 25% กับไวน์บางชนิด
แหล่งข่าวจากยุโรป เผยว่า วอชิงตันและบรัสเซลมีการหารือกันเพื่อที่จะจบการต่อสู้ครั้งนี้ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการบริหารงานโดย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยวอชิงตันพยายามหาทางแก้ปัญหาแบบแยกต่างหากกับอังกฤษ ซึ่งมีหุ้นในแอร์บัส แต่ออกจากสหภาพยุโรปแล้ว
ยุโรป เผยว่า จะหาข้อยุติอย่างรวดเร็วในประเด็นปัญหานี้กับนาย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งจะเข้ามาดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันที่ 20 ม.ค. นี้ โดยทีมงานของไบเดน ยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ กับความขัดแย้งทางการค้าที่เกิดขึ้นนี้
แอร์บัส กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐฯ จะขยายการเรียกเก็บภาษีชิ้นส่วนเครื่องบินที่ผลิตในฝรั่งเศสและเยอรมนีว่า เป็นพฤติกรรมการต่อต้าน และจะส่งผลทำร้ายคนทำงานในสหรัฐฯ ที่ทำงานในโมบิล และอลาบามา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ประกอบเครื่องบิน A320 และ A220