สมาคมอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ (SEIA) ร่วมกับ Wood Mackenize บริษัทที่ปรึกษาชื่อดังในอุตสาหกรรมพลังงาน คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลกจะขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2030 และคาดว่า ภายในสิ้นทศวรรษนี้ ตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ จะขยายตัวแข็งแกร่งถึง 4 เท่าจากระดับปัจจุบัน
ข้อมูลล่าสุดจาก SEIA และ Wood Mackenize ระบุว่า อุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในสหรัฐฯ ขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลออกนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ผนวกกับความต้องการที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง แม้สหรัฐฯ เผชิญกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม
ยอดการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ในสหรัฐฯ ช่วงปี 2020 ขยายตัว 43% มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.2 กิกะวัตต์ และเฉพาะในไตรมาส 4 ปีที่แล้วเพียงไตรมาสเดียว ยอดการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมมากกว่า 8 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดย รัฐแคลิฟอร์เนีย เท็กซัส และฟลอริดา เป็น 3 รัฐที่มีการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุดในช่วงครึ่งหลังของปี 2020
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยบรรดาผู้จัดการกองทุนในภูมิภาคเอเชีย ต่างให้ความสนใจเข้าลงทุนในหุ้นของบริษัทด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ขณะที่ นักลงทุนต่างพากันเข้าลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากเชื่อว่าพลังงานชนิดนี้มีศักยภาพในการแข่งขัน
ประกอบกับการที่ประเทศต่างๆ รวมถึงจีนได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะดำเนินการมากขึ้นเพื่อลดปัญหาโลกร้อน โดยจีนจะบรรลุเป้าหมายในการลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ลงเป็นศูนย์ให้ได้ก่อนปี 2060 พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมกันผลักดันการพัฒนาที่มีนวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเปิดกว้าง โดยใช้โอกาสครั้งประวัติศาสตร์จากการปฎิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรอบใหม่ และการเปลี่ยนแปลงด้านอุตสาหกรรม รวมถึงการบรรลุเป้าหมายการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหลังยุคโควิด-19