สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ กำลังทำงานใกล้ชิดกับบริษัท โคโลเนียล ไปป์ไลน์ ผู้ดำเนินการท่อส่งน้ำมันในสหรัฐฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อช่วยให้บริษัทกลับมาดำเนินงานได้ หลังจากถูกโปรแกรมประสงค์ร้าย (แรนซัมแวร์) โจมตี ทำให้ต้องปิดเครือข่ายเชื้อเพลิงสำคัญที่ส่งเชื้อเพลิงให้รัฐทางตะวันออกที่มีประชากรมาก
การโจมตีนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบการเรียกค่าไถ่ทางดิจิทัลที่ทำให้เกิดการหยุดชะงักมากที่สุด และกระตุ้นให้ฝ่ายนิติบัญญัติอเมริกันเสริมสร้างความเข้มแข็งในการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สำคัญจากการถูกโจมตีด้วยการแฮ็ก
จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาท่อส่งเชื้อเพลิงเป็นเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญสูงสุด โดยรัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่เกิดจากการหยุดชะงักของท่อส่งน้ำมัน ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือโคโลเนียลในการทำให้เครือข่ายท่อส่งน้ำมันซึ่งมีมากกว่า 5,500 ไมล์ จากเท็กซัสไปยังนิวเจอร์ซี กลับมาทำงานได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ทุกอย่างอยู่ในมือเราแล้ว เรากำลังเผชิญเรื่องระดับชาติ ขณะนี้มีการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างบริษัท รัฐ และหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานจะเป็นปกติเร็วที่สุด” ไรมอนโด กล่าว
ขณะที่ โคโลเนียล ชี้แจงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ท่อส่งน้ำมันหลักยังคงปิดดำเนินการ แต่มีท่อส่งขนาดเล็กบางจุดระหว่างอาคารหลักและจุดส่งมอบที่ดำเนินการได้แล้ว อย่างไรก็ตามบริษัทไม่ได้ให้ข้อมูลประมาณการว่าจะกลับมาดำเนินการเต็มรูปแบบได้เมื่อไหร่ รวมทั้งปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้
ราคาน้ำมันเบนซินล่วงหน้าในตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 3% เป็น 2.217 ดอลลาร์สหรัฐต่อแกลลอน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2018 หลังเริ่มเปิดการซื้อขายของสัปดาห์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดตอบรับข่าวที่เกิดขึ้น
สำหรับ โคโลเนียล ขนส่งน้ำมันเบนซินและเชื้อเพลิงอื่นๆ ประมาณ 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากโรงกลั่นในคาบสมุทรกัลฟ์ไปถึงผู้บริโภคในแอตแลนติกกลางและตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ นอกจากนี้เครือข่ายท่อส่งของบริษัทยังให้บริการสนามบินหลักๆ ในสหรัฐฯ ด้วย เช่น ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์ แจ็คสัน แอตแลนตา ซึ่งเป็นหนึ่งในท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารหนาแน่นที่สุดในโลก