โดย…พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM
ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ต้องบอกเลยว่ากำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว แม้ว่าตัวเลขของ GDP ในแต่ละประเทศจะปรับตัวลดลงจากที่คาดการณ์ไปบ้าง เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กลับมาอยู่เป็นระลอก ซึ่งระลอกหลังนี้หลายๆ ประเทศก็ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างหนักกว่ารอบแรก รวมถึงไทยเองด้วย โดยเฉพาะเรื่องความว่องไวในการจัดหาวัคซีนเพื่อควบคุมโรค ทำให้ไทยเราฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย กลับได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้สะท้อนมาจากภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มดีขึ้น สังเกตได้จากตัวเลขของผู้ขอใช้สวัสดิการว่างงานของรัฐมีจำนวนลดลงราว 30% และคาดว่าน่าจะปรับลดลงเหลือน้อยกว่า 10% ภายในสิ้นเดือน พ.ค. 2021 รวมถึงมาตรการกระตุ้นด้วยเศรษฐกิจด้วย QE ถ้ายังคงมีอยู่ ก็คาดว่าน่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
แต่ทีนี้เราก็ต้องยอมรับว่าการกลับมาของตลาดหุ้นไทยครั้งนี้อาจจะไม่หวือหวาเหมือนกับที่ผ่านมา เพราะหลักๆ แล้ว เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะต้องใช้ระยะเวลารอคอยอยู่พอสมควรกว่าที่ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจะกลับมา และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง
ดังนั้น การลงทุนในหุ้นไทยตอนนี้จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยสำหรับผู้ลงทุนที่เสียภาษีอยู่แล้ว ก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุน SSF หรือ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยกระจายไปในหลายๆ หมวดอุตสาหกรรมอย่าง BEQSSF และ BERMF ก็ได้ โดยการลงทุนที่มีการกระจายไปในหลายหมวดอุตสาหกรรม จะทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกลงทุนได้สอดคล้องตามสถานการณ์ และมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว
นอกเหนือจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศก็มีความน่าสนใจ มากเช่นกัน โดยเฉพาะตลาดการลงทุนใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีหุ้นของบริษัทที่มีการเติบโตสอดคล้องไปกับเทรนด์โลกในปัจจุบันและในอนาคตจำนวนมาก เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มนวัตกรรม หุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ ฯลฯ ที่สามารถเติบโตได้ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด โดยวิกฤตในครั้งนี้เปรียบเหมือนแรงกระตุ้นให้ธุรกิจกลุ่มนี้เติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น จากเดิมที่คาดการณ์กันว่าจะเติบโตภายใน 10 ปี กลายเป็นเติบโตได้ในชั่วพริบตา และคาดการณ์ว่าจะสามารถเติบโตต่อไปหลังจากจบวิกฤตครั้งนี้
โดยปัจจุบันการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เราสามารถลงทุนได้ง่ายๆ ผ่านกองทุนรวม ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมทั่วไป กองทุนรวมลดหย่อนภาษี SSF และ RMF ซึ่งถ้าหากเราต้องการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ตามเทรนด์โลกอนาคตสักกองทุนหนึ่ง ก็อาจเลือกพิจารณาลงทุนในกองทุน B-FUTURE ที่มีการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับหุ้นนวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์ (AI) และจัดสรรเงินอีกส่วนหนึ่งไปลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน ทั้งในแง่ของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ล้ำสมัย เครือข่ายที่กว้างใหญ่ และจำนวนผู้บริโภคที่มีอยู่มหาศาล โดย B-FUTURE นั้นมีให้เลือกลงทุนทั้งในรูปแบบของกองทุนทั่วไป กองทุนลดหย่อนภาษี SSF และกองทุนลดหย่อนภาษี RMF
ท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่ทุกคนน่าจะสงสัยกันมากที่สุดก็คือ การลงทุนในหุ้นในสภาวะเช่นนี้เหมาะสมแล้วจริงหรือ?
คำตอบก็คือ สินทรัพย์การลงทุนที่พอจะลงทุนในช่วงนี้ก็มีตราสารหนี้และหุ้น โดยอัตราผลตอบแทนระหว่าง 2 สินทรัพย์นี้มีช่องว่าง (Gap) ที่ค่อนข้างกว้าง ดังนั้น ถ้าหากเราพอมีกำลังในการลงทุน ก็ควรหาโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยการลงทุนในหุ้น
แต่อย่างไรก็ตาม อย่างที่เราเคยพูดคุยกันถึงเรื่องการวางแผนการเงิน สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในช่วงวิกฤตก็คือ การมีเงินสำรองฉุกเฉิน โดยตอนนี้เราควรมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้อย่างน้อย 12 เดือน
ส่วนที่เหลือเกินจากนี้ก็อยากให้จัดสรรไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน โดยกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่เหมาะสมยังคงต้องสอดคล้องกับเป้าหมาย และความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ (Willingness to take risk) และด้านความมั่นคงทางการเงิน (Ability to take risk) หรือถ้าหากเราไม่ถนัดในการจัดสัดส่วนการลงทุนด้วยตัวเอง ก็อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมแบบผสมในตระกูล BMAPS ของกองทุนบัวหลวงก็ได้เช่นกัน