CNBC รายงานว่า การติดตั้งแผงโซลาร์ในสหรัฐฯ กำลังเติบโตทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมุมมองนี้อาจเผชิญความท้าทายของต้นทุนโครงการที่มีแนวโน้มสูงขึ้น หรืออาจมีการเร่งตัวอันเกิดจากการสนับสนุนใหม่ๆ ของฝ่ายบริหารประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ
Wood Mackenzie บริษัทวิจัยพลังงานและสมาคมการค้าอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ ร่วมกันออกรายงานล่าสุด ระบุว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ยอดการติดตั้งแผงโซลาร์ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 46% เป็นมากกว่า 5 กิกะวัตต์ และในสหรัฐฯ กำลังดำเนินการติดตั้งทั้งสิ้น 24.4 กิกะวัตต์ในปีนี้ เพิ่มขึ้นเกือบ 24% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ในรายงานนี้สะท้อนความต้องการที่แข็งแกร่งจากกลุ่มสาธารณูปโภคและองค์กรที่ต้องการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นผลจากต้นทุนเทคโนโลยีที่ลดลงทำให้มีความสามารถแข่งขันกับพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลได้
กลุ่มอุตสาหกรรมยังได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ให้เครดิตภาษียาวนานกับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ต้องการให้สภาคองเกรสขยายเวลาเรื่องนี้ออกไปอีก 10 ปี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการลงทุนพลังงานสะอาดเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้ พบว่า โครงการสาธารณูปโภคและลูกค้ารายใหญ่อื่นๆ มีสัดส่วนเกือบ 3 ใน 4 ของยอดการติดตั้งแผงโซลาร์ในไตรมาสแรก ขณะที่ตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ มีกลุ่มโครงการที่ทำสัญญารออยู่ทั้งหมด 77 กิกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม การติดตั้งที่เพิ่มขึ้น ก็อาจต้องเผชิญความท้าทายจากต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย จากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบหลักและค่าขนส่งที่แพงขึ้น ขณะที่ผู้ก่อสร้างโครงการโซลาร์ยังพบปัญหาจากตลาดแรงงานที่ตึงตัวอีกด้วย ซึ่งก็อาจมีข้อจำกัดมากขึ้นอีกถ้ารัฐบาลกลางมีสิทธิประโยชน์จูงใจที่เชื่อมโยงกับค่าจ้างหรือผลประโยชน์อื่นๆ ตามที่ฝ่ายบริหารของไบเดนเสนอ