CNBC รายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่สำหรับครอบครัวเดี่ยวในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 เดือน เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา แต่การที่ราคาบ้านสูงขึ้นก็ทำให้ผู้ที่ต้องการมีบ้านเป็นของตัวเอง เป็นผู้ที่จะซื้อบ้านครั้งแรก มีความสามารถรับกับราคาได้น้อยลง
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลว่า ยอดขายบ้านใหม่ปรับขึ้น 14% เทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยเป็นอัตราที่ปรับตามฤดูกาลแล้ว มียอดขาย 800,000 ยูนิตในเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. ขณะที่ยอดขายเดือน ส.ค. มีการทบทวนลงมาเหลือ 702,000 ยูนิต จากที่ก่อนหน้านั้นรายงานไว้ 740,000 ยูนิต โดยยอดขายเพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่มีประชากรมากทางตอนใต้ เช่นเดียวกับทางตะวันตกและตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ยอดขายลดลงในฝั่งตะวันตกตอนกลาง
Reuters จัดทำผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ คาดการณ์ว่ายอดขายบ้านใหม่ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ของยอดขายบ้านในสหรัฐฯ เดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 760,000 ยูนิต โดยยอดขายนี้ลดลง 17.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดสูงสุดอยู่ที่ 993,000 ยูนิต ในเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่สิ้นปี 2006
ความต้องการบ้านเพิ่มขึ้นตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้คนอพยพจากเมืองไปอยู่ย่านชานเมือง และพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นต่ำ คนอเมริกันต้องการหาที่พักที่กว้างขวางขึ้น เพื่อทำงานและเรียนออนไลน์จากที่บ้าน ขณะที่การหาซื้อบ้านเริ่มลดลงเมื่อคนกลับไปทำงานที่สำนักงานและกลับไปเรียนที่โรงเรียน หลังฉีดวัคซีนแล้ว
สำหรับราคากลางของบ้านใหม่เร่งตัวขึ้น 18.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในเดือน ก.ย. สู่ระดับ 408,800 ดอลลาร์สหรัฐ โดยยอดขายกระจุกตัวในกลุ่มบ้านราคา 200,000 – 749,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนยอดขายบ้านราคาต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งก็เป็นส่วนที่ต้องการของตลาด คิดเป็น 2% ของธุรกรรมทั้งหมด