หลังจากรัสเซียถูกปิดกั้นการเข้าถึงแพลตฟอร์มของ Meta Platforms Inc ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียระดับเรือธง ทั้ง Facebook และ Instagram ก็ทำให้ผู้ใช้งานมีความต้องการเครื่องมือที่จะช่วยก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ไปได้มากขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รัสเซียมีการปิดกั้นการเข้าถึง Instagram เพื่อตอบโต้กับการตัดสินใจของ Meta เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียในยูเครนเผยแพร่ข้อความที่มีใจความว่า ความตายของรัสเซียผู้รุกราน ขณะที่ Facebook ถูกห้ามใช้งานในรัสเซียไปแล้ว โดยรัสเซียระบุว่า มีการจำกัดการเข้าถึงสื่อรัสเซียในนั้น
หลังจาก Instagram ถูกห้ามใช้งานในรัสเซีย ก็พบว่า มีความต้องการใช้ เครือข่ายเสมือนส่วนตัว (VPNs) เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่จะเข้ารหัสข้อมูลและปิดบังตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้งานได้ โดยการใช้งานเพิ่มขึ้น 2,088% จากระดับความต้องการเฉลี่ยรายวันในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ตามข้อมูลที่ Top10VPN บริษัทตรวจสอบการใช้งาน VPNs เผยแพร่
รัสเซียเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก นับตั้งแต่กระทำการกับยูเครน และกำลังต่อสู้กับการควบคุมการไหลของข้อมูล ขัดขวางโซเชียลมีเดียจากต่างชาติ ด้วยการทำให้การเดินทางของข้อมูลช้าลง ส่วนในกรณีของ Facebook และ Instagram นั้น ถูกห้ามใช้โดยสิ้นเชิง
ที่ผ่านมา ความต้องการใช้ VPNs ในภูมิภาคนี้ก็เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว เพราะเว็บไซต์รัสเซียและยูเครนตกเป็นเหยื่อของการโจมตีทางไซเบอร์ ขณะที่รัสเซียห้ามใช้งาน VPNs หลายรายการในปีที่ผ่านมา แต่ก็ล้มเหลวกับการปิดกั้นทั้งหมด เนื่องจากมีการรณรงค์ในวงกว้างเกี่ยวกับการปิดกั้นเสรีภพทางอินเทอร์เน็ต
ข้อมูลจาก Top10VPN ชี้ว่า มีรายการกว่า 6,000 รายการ ที่เข้าไปในเว็บไซต์ที่รัฐบาลกลางรัสเซียปิดกั้นไว้ โดยพบว่าเป็น 203 เว็บไซต์ข่าว และ 97 เว็บไซต์ซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่งประเทศกับคริปโทเคอร์เรนซี
ที่มา : Reuters