- กองทุนเปิดบัวแก้วปันผล (BKD)
- กองทุนเปิดบัวหลวงร่วมทุน (BCAP)
- กองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (BSIRICG)
- กองทุนเปิดบัวหลวงปัจจัย 4 (BBASIC)
ตั้งแต่ต้นปี (YTD) ถึง 31 พ.ค. 2565 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นโลกโดยทรงตัว 0% เทียบกับ S&P500 -13.0%, NASDAQ -23.0%, VIETNAM -14.0% HONG KONG -7.0%
เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา หุ้นไทยเผชิญกับ Sell in May เช่นเดียวกับตลาดอื่น แต่ดัชนีปรับตัวลดลงเพียง -0.8% ส่วนหนึ่งเกิดจากตัวเลข GDP งวด 1Q2565 โต 2.2% ดีกว่าคาด กำไรงวด 1Q2565 เท่ากับ 2.74 แสนล้านบาท เติบโต 10% YoY สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพบริษัทจดทะเบียนไทยที่แข็งแกร่งในยามที่ปัจจัยภายนอกผันผวน โดย Fund flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเดือนพ.ค. เกิน 1 หมื่นล้านบาท สูงสุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
เดือน มิ.ย. ตลาดหุ้นไทยเดินหน้าเข้าสู่บททดสอบอีกครั้งจากนโยบายการเงินโลกตึงตัวแบบ New Normal เพื่อรับมือกับเงินเฟ้อในหลายประเทศที่สูงสุดในรอบ 10-40 ปี อาทิ Fed โอกาสขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในช่วงกลางเดือน มิ.ย. พร้อมกับการลดขนาดงบดุล 4.75 หมื่นล้านเหรียญ และช่วงที่เหลือของปี Fed ลดงบดุล 5.22 แสนล้านเหรียญ
ปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย *ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิ.ย. 2565
1. ภาพรวมกำไรบริษัท 1Q2565 ออกมาตามตลาดคาด ทำให้นักวิเคราะห์ยังไม่เห็น Downside ต่อการประมาณการกำไรทั้งปีบริษัทจดทะเบียนรายงานกำไรงวด 1Q2565 ออกมา 630 บริษัทคิดเป็นสัดส่วน Market cap. 96% ของบริษัททั้งหมด มีกำไรรวมที่ 2.74 แสนล้านบาท และเมื่อเทียบกับกำไรทุกบริษัทในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 9.7% YoY และลดลง -1.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หนุนตลาดหุ้นไทยผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ
หากลงรายละเอียดเป็น Sector พบว่า กลุ่มที่มีกำไรเติบโตเด่น แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักคือ
- หุ้นพลังงาน ได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ยืนระดับสูงกว่าปกติ
- หุ้นเปิดเมือง คือ หุ้นธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก อสังหาฯ การแพทย์ ขนส่ง ได้แรงหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นขึ้นตามลำดับ
- หุ้นส่งออก อาทิ กลุ่มอาหาร เกษตร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แรงหนุนจากค่าเงินบาทอ่อนค่า พร้อมราคาสินค้าต่างๆ ที่ทยอยปรับขึ้น
2. กำแพงภาษีที่สหรัฐฯเคยทำไว้กับจีนซึ่งมีกรอบระยะเวลาถึง 6 ก.ค. 2565 เป็นสิ่งที่ต้องติดตาม เพราะหากปล่อยให้หมดอายุลง (Reverse Trade War) จะเป็นกระแสเชิงบวกต่อหุ้นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มส่งออก กลุ่มธ.พ. ฯลฯ เดิมทรัมป์เคยตั้งกำแพงภาษีนี้ไว้ราว 3.5 แสนล้านเหรียญ การศึกษาความสัมพันธ์ของ Trade War กับตลาดหุ้นไทย พบว่ามีความสำคัญมาก สะท้อนได้จากเวลาที่มีการตั้งกำแพงภาษีเพิ่มขึ้นในแต่ละรอบ SET Index มักจะปรับตัวลงแรงเสมอ ดังนี้
- การขึ้นภาษีรอบที่ 1-2 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท กดดัน SET Index เดือน พ.ค.-มิ.ย. 2561 ปรับตัวลงเฉลี่ย-10.4%
- การขึ้นภาษีรอบที่ 3 วงเงิน 2.0 แสนล้านบาท กดดัน SET Index เดือน ต.ค.-ธ.ค. 2561 ปรับตัวลงเฉลี่ย -11%
- การขึ้นภาษีรอบที่ 4 วงเงิน 1.1 แสนล้านบาท กดดัน SET Index เดือน ส.ค.-ธ.ค. 2562 ปรับตัวลงเฉลี่ย -8.1%
ประเด็น Reverse Trade War หรือการลดระดับภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน สู่สหรัฐฯ หากเกิดขึ้นได้จริง ก็น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น โดยอาจเห็นการตอบสนองเชิงบวกของตลาดหุ้น เมื่อเกิดสัญญาณดีระหว่างรอกำแพงภาษีหมดอายุลงใน 6 ก.ค. 2565 นี้
ปัจจัยกดดัน/ความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย
1.การดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว ด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยของประเทศพัฒนา กดดันให้เงินบาทอ่อนค่า ทำให้ Fund flow ต่างชาติมีโอกาสชะลอการไหลเข้าหุ้นไทย ด้วยนโยบายการเงินโลกตึงตัว จนกดดันให้ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี
- ในปีนี้นโยบายการเงินของเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย 7-8 ครั้ง เป็นตัวแปรหนึ่งที่กดดันให้ Fund flow ต่างชาติไหลออก เพราะนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน Fund flow ต่างชาติเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางของดัชนีตลาด ย้อนดูข้อมูลสถิติประกอบระหว่างผลตอบแทนหุ้นไทยเทียบกับ Fund flow ต่างชาติปี 2552 – 2564 (หรือ ค.ศ. 2009-2021) ปีที่ต่างชาติขายหุ้นไทยปริมาณมาก SET Index มีโอกาสปรับตัวลดลง
2.การลดขนาดงบดุลซึ่งเป็นกลไกในการดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินทางการเงินออกจากระบบของ Fed เบื้องต้นถูกกำหนดว่าจะมีการลดลงในอัตรา 5 หมื่นล้าน USD ต่อเดือน ตั้งแต่ พ.ค. 2565 เป็นต้นไป ซึ่งต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด ในฐานะเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อสินทรัพย์ทางการเงิน ในปี 2561 ที่ Fed มีการลดขนาดงบดุลในอัตรา 3.1 หมื่นล้าน USD ต่อเดือน ปรากฏว่าในช่วงเวลาดังกล่าว SET Index ปรับตัวลดลงมากถึง -10.8% ทั้งนี้การที่ Fed อาจปรับลดขนาดงบดุลรอบนี้ในอัตรา 9.5 หมื่นล้าน USD ต่อเดือน ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน
3.โอกาสขึ้นดอกเบี้ยไทยในช่วงปลาย 3Q65 หรือต้น 4Q65 กดดัน SET Index
ปกติการลดสภาพคล่องหรือเร่งขึ้นดอกเบี้ยปกติจะกดดัน Valuation แต่หากนักลงทุนประเมิน Forward Market Earning Yield Gap ของสหรัฐฯ ที่ 3.0% (ตลาดคาดสหรัฐฯขยับขึ้นอีก 1.75% ในช่วงที่เหลือของปี มาอยู่ที่ 2.75%) และโลกที่ 3.6% ตามลำดับ ตลาดหุ้นไทยถือว่าได้เปรียบกว่ามาก เพราะมี Forward Market Earning Yield Gap ที่ 4.7% สูงกว่าประเทศพัฒนา แม้อัตราดอกเบี้ยไทยจะขึ้น 1 ครั้งในช่วงท้ายปีสู่ 0.75% ก็จะเป็นแรงกดดันเพียงเล็กน้อย ปัจจัยลบนี้จึงอาจส่งผลไม่มาก
แนวโน้มหมวดธุรกิจ
- พลังงานและสาธารณูปโภค
ในระยะสั้นราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจาก 4 ปัจจัยคือ
1) Shale oil เพิ่ม Output ได้ยากเพราะขาดการลงทุนต่อเนื่อง
ในส่วน Supply น้ำมันจากสหรัฐฯ ก็ยังอยู่ในระดับจำกัดด้วยที่บริษัท Shale Oil ขาดการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันทันทีเป็นไปได้ยาก ประกอบกับผู้ถือหุ้นบริษัท Shale oil ยังคงต้องการปันผลมากกว่าต้องการให้บริษัทนำเงินไปลงทุนเห็นได้จาก Reinvestment rate ที่ลดลงจาก 140% ช่วงปี 2561 เหลือเพียง 40% ในปี 2564
2) OPEC Oil Supply ค่อนข้างจำกัด
ปัจจุบันการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC ในเดือน เม.ย. นั้นอยู่ราว 28 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเกินกว่าที่ OPEC ตกลงไว้ และในส่วน Spare capacity นั้นเหลืออยู่ค่อนข้างน้อยเพียง 5 แสน ถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเท่านั้น ปริมาณ Spare capacity ของซาอุฯที่ลดลงต่อเนื่องจากระดับ 3 ล้านบาร์เรลต่อวันมาเป็น 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ UAE ลดลงเหลือ 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้นแล้วอาจเป็นไปได้ยากที่กลุ่ม OPEC จะสามารถชดเชยน้ำมันที่กลุ่มยุโรปแบนน้ำมันรัสเซีย
3) Pull Demand จาก Driving season ในสหรัฐฯ
ตั้งแต่เดือน มิ.ย. ถึงต้นเดือน ก.ย. สหรัฐฯเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศอบอุ่นและเดือน ก.ค. ปิดภาคเรียนฤดูร้อน ส่งผลให้มีการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น แต่สต็อกน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซลก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี
4) Shanghai Reopening
การเปิดเมืองเซี่ยงไฮ้จะทำให้ความต้องการน้ำมันในจีนเพิ่มขึ้น การกลับมาเปิดเมืองอีกครั้งในวันพุธ (1 มิ.ย.) หลังจากที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 มาเป็นเวลา 2 เดือน โดยห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา จะอนุญาตให้เปิดได้โดยมีผู้ข้ามาใช้บริการไม่เกิน 75% ของจำนวนสูงสุดที่ให้บริการได้
ดังนั้น Supply ที่ยังตึงตัว ขณะที่ Demand ยังคงเพิ่มมากขึ้น สถานการณ์รัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ สนุนราคาน้ำมัน
อย่างไรก็ตามในระยะยาวแนวโน้มราคาน้ำมันจะเริ่มปรับตัวลดลงเข้าสู่ demand และ supply ที่แท้จริง
ส่วนของค่าการกลั่นนั้น โดยภายรวมปี 2565 นักวิเคราะห์ในตลาดมองว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยในปี 2564 มาอยู่ที่ราว 4-5 เหรียญฯต่อบาร์เรล ตามสถานการณ์โควิดที่ผ่อนคลายลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยเพิ่มขึ้น การเดินทางค่อยๆกลับมา แต่ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมผลบวกช่วงสั้นจากความกังวลเรื่องสงครามที่เกิดขึ้นทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติ
สำหรับ spread ปิโตรเคมี ตลาดประเมินว่าน่าจะเข้าสู่สมดุลระหว่าง demand และ supply มากขึ้น ค่าเฉลี่ย spread ของทุกสายการผลิตรายปีอาจจะไม่แตกต่างจากปี 2564 มากเพราะในปี 2564 ถือเป็นช่วงที่ดีมากของปิโตรเคมี จากการ destocking และ supply tight อีกทั้งในปี 2565 คาด supply น่าจะทยอยเข้าสู่ตลาดมากขึ้นหลังจาก COVID ผ่อนคลาย
- ธนาคาร
นอกจากการ Recovery ของเศรษฐกิจไทยส่งผลบวกต่อภาพรวมกลุ่มโดยตรงแล้ว ธ.พ. ใหญ่ จะมีแรงหนุนจากการเบิกใช้สินเชื่อของรายใหญ่ในช่วงที่เหลือของปี 2H2565 (SME และรายย่อยมีทิศทางทรงตัว) ธนาคารขนาดใหญ่อย่าง BBL, KBANK, SCB จะได้เปรียบหากดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อสูงขึ้น ด้าน BIS Ratio ณ สิ้น เม.ย. 2565 ยังคงสูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 19.3% เพิ่มจาก 19.2% ณ สิ้นเดือนก่อน จากเงินกองทุนสูงขึ้นหลังจัดสรรกำไรสุทธิจากเงินปันผลเป็นเงินกองทุนประจำปี
ด้านระดับมูลค่า SETBANK ตอนนี้มี PBV ซื้อขายที่ 0.7 เท่า สะท้อนควาไม่แน่นอนของ Macro risk บางส่วนแล้ว โดย ธ.พ. ใหญ่ได้รับประโยชน์หากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กลุ่ม M-Rate เริ่มปรับขึ้นและมีการปรับตัวเข้าสู่ยุค Digital อย่าง KBANK และ SCB ส่วน BBL นั้นเป็น Laggard play จาก PBV ซื้อขายถูกสุดในกลุ่มฯ ที่ 0.48 เท่า และสินเชื่อรายใหญ่ยังมีโมเมนตัมที่ดี
- การแพทย์
รายได้ค่าบริการโรคทั่วไปฟื้นตัวเกือบเท่าตัวก่อน Covid
รายได้ผู้ป่วยทั่วไปกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นเทียบเท่าก่อน COVID-19 ทั้งรายได้เงินสดและประเภทประกันสังคมโรคร้ายแรง เนื่องจากรายได้ส่วนนี้ได้รับผลกระทบช่วงที่ผ่านมาและได้กลับมาฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2564 นอกจากนี้รายได้ COVID-19 ที่กำลังจะหายไป รายได้ผู้ป่วยต่างประเทศสามารถทดแทนในส่วน COVID-19 เช่นกัน จึงทำให้ตลาดคาดกลุ่มโรงพยาบาลสามารถทำกำไรเกือบเทียบเท่าก่อน Covid และในปี 2566 ทำกำไรได้เท่ากับก่อน Covid
Medical Tourism ฟื้นตัวหลังเปิดประเทศ
ทำให้คาดว่าโรงพยาบาลใหญ่จะได้รับอานิสงส์จากผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า Middle East และ CLMV ที่เริ่มฟื้นตัวหลังมีการผ่อนคลายเข้าประเทศมากขึ้น และมีนโยบายเลิกตรวจ RT-CPR และ ATK ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเดินทางเข้ามาในประเทศง่ายมากขึ้น โดยมีนักท่องเที่ยวจาก Middle East จำนวน 17,997 คนในเดือน มี.ค. 2565 และ 15,419 คนในเดือนเม.ย. 2565 ซึ่งลดลงเนื่องจากเป็นเทศกาล Ramadan จึงทำให้ชาวมุสลิมไม่นิยมเดินทางและหาหมอในช่วงระยะเวลานี้ คาดว่าจะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยว Middle East ราว 20,000 คนในเดือน พ.ค. หุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติได้แก่ BDMS, BH, PR9 เนื่องจากรายได้ช่วง Covid ที่หายไปเป็นรายได้จากลูกค้าต่างประเทศ
Wellness tourism
เนื่องจากประชากรอายุ 55 ปีขึ้นไปมีอัตราที่สูงขึ้น ในขณะที่ประชากรในวัยเด็กนั้นมีอัตราที่ลดลง ทำให้มีคนสนใจและดูแลเรื่องสุขภาพมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับ Wellness tourism คาดว่าโต 20% ในอีก 3 ปี (2568) ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบเนื่องจากเป็นประเทศท่องเที่ยวและมีทีมแพทย์และเครื่องมือที่พร้อม โดยปัจจุบันโรงพยาบาลที่เปิดให้บริการ Wellness Center ได้แก่ BDMS, BH, THG
- วัสดุก่อสร้าง
ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น กระทบต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่สร้างผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจและ Supply Chain ทำให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ในการผลิตวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นถ่านหินที่ใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์ ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตกระเบื้อง แร่ใยหินและเยื่อกระดาษที่ใช้ในการผลิตกระเบื้องหลังคา สินแร่เหล็กและถ่านหินที่ใช้ในการผลิตเหล็กเส้นและเหล็กแผ่นรีดร้อน ถือเป็นปัจจัยลบสำคัญที่ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างในประเทศต้องเผชิญ
แม้ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง (SCC, SCCC, TPIPL) มีการทำสัญญาซื้อถ่านหินล่วงหน้าและใช้เชื้อเพลิงอื่นทดแทน แต่ท้ายที่สุดผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างทุกรายก็ต้องส่งผ่านต้นทุนไปสู่ราคาสินค้าสะท้อนผ่านดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างรวม เดือนมี.ค. 2565 ที่เพิ่มจากเดือนม.ค. 2564 ถึง 10%
ต้นทุนวัสดุก่อสร้างถือเป็นต้นทุนหลักสำหรับงานก่อสร้าง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 54% ของต้นทุนก่อสร้างทั้งหมด วัสดุก่อสร้างสำคัญเช่น ปูนซีเมนต์ คอนกรีต เหล็กเส้น มีราคาสูงขึ้นกว่า 30% นับจากต้นปี 2564 ขณะที่ปูนซีเมนต์และคอนกรีตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาถือว่าราคาแทบไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นเลย แต่ภายใต้แรงกดดันด้านต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นมาก จึงมีแนวโน้มที่ราคาปูนซีเมนต์และคอนกรีต จะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน
- พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
สำหรับสินค้ากลุ่มกลุ่มคอนโดฯ ใน 1Q2565 พบว่ามีการเปิดโครงการมากกว่าแนวราบ หรือสัดส่วน 55% ของมูลค่าเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่จะนำคอนโดฯ ใหม่ออกสู่ตลาด หลัง 3 ปีที่ผ่านมาเปิดกันค่อนข้างน้อย และมีการดูดซับปริมาณ supply จากการะบายสต็อกโครงการเดิมไปบางส่วน
สำหรับสินค้ากลุ่มแนวราบ เช่น LH, AP, SPALI ที่มีสัดส่วนการเปิดโครงการน้อยกว่า แต่การขยายตัวยังมีอย่างต่อเนื่องด้วยจำนวน 33 โครงการมูลค่า 3.32 หมื่นล้านบาท (เพิ่มจาก 1.46 หมื่นล้านบาทงวดปีก่อน)
หากพิจารณายอด Presale รายบริษัทพบกว่ามีการเติบโตแตกต่างกันไป โดยกลุ่มภาพรวมยอดขาย AP, LH, SC, SPALI, NOBLE ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 23% ของเป้าทั้งปี ขณะที่ QH, LALIN อยูในระดับปานกลางเฉลี่ย 20-23% ส่วน ANAN, SIRI, SENA, LPN ยังอยู่ระดับต่ำ และมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% ของเป้าหมาย
- ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
“Demand ชิ้นส่วนฯเติบโตได้ดีในระยะยาวแต่ระยะสั้นยังเผชิญปัญหาด้านวัตถุดิบขาดแคลน”
ความกังวลสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน นโยบาย Zero Covid ของประเทศจีน ทำให้มีการ Lock Down บางเมือง ส่งผลด้านการจัดหาวัตถุดิบและการผลิตชิ้นส่วนฯ ในงวด 2Q บ้าง โดยผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯไทย จัดหาวัตถุดิบจากหลายเมืองในจีนและประเทศอื่นบ้าง จึงยังสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบจากประเทศอื่นทดแทนได้ ทั้งนี้หากเรียงผลกระทบตามสัดส่วนของรายได้ที่มาจากจีนของหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯ ไทยได้ดังนี้ HANA 18% (มีโรงงานในเมืองเจียซิง แม้โรงงานจะดำเนินการได้ปกติ แต่ต้องใช้การขนส่งสินค้าหรือวัตถุดิบผ่านเซี่ยงไฮ้ที่ถูก Lock Down จึงทำให้การผลิตไม่เต็มที่), DELTA 14%, KCE 10%, SVI 5% ทั้งนี้ คาดว่าประเด็นดังกล่าวจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้น หลังประเทศจีนประกาศเตรียมคลายล็อกดาวน์ทั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 แต่เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
- เทคโนโลยีสารสนเทศ
ภาพรวมกลุ่ม ICT ใน 2Q2565 ยังดูไม่สดใส เพราะคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทขนาดใหญ่ทั้ง 4 บริษัทคือ ADVANCE, DTAC, TRUE และ INTUCH จะชะลอตัวในช่วง 9M2565 Fโดยจะเริ่มฟื้นตัวได้ใน 4Q2565 ตามภาพของเศรษฐกิจที่น่าจะเติบโตได้ดีขึ้น และผลบวกของฤดูกาล การแข่งขันที่รุนแรงจากกลยุทธ์ด้านราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ ซึ่งจะกดดันรายได้เฉลี่ย/เลขหมาย/เดือน (ARPU) ขณะที่ฐานลูกค้ายังเพิ่มขึ้นได้ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชย ARPU ที่ลดลงได้ ส่วนกำไรมีแนวโน้มจะลดลง YoY เมื่อเทียบกับฐานกำไรที่สูงใน 2Q2564
ด้านการเพิ่มขึ้นลูกค้า 5 จี สะดุดจากปัญหาชิปการ์ดของอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิกส์ที่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้ขาดชิ้นส่วนอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือด้วย จึงยังไม่มีความหลากหลายของตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆที่จะออกมากระตุ้นให้ผู้บริโภคออกมาเปลี่ยนเครื่องเพื่ออัพเกรดการใช้งานจาก 4 จี เป็น 5 จี ได้ ทั้งนี้เชื่อว่าการเปลี่ยนเครื่องน่าจะต้องรอแรงหนุนจากการออกไอโฟนรุ่นใหม่ในช่วง 4Q2565 และส่งผลให้ ARPU โดยรวมของผู้ประกอบการจะยังขาดปัจจัยขับเคลื่อนในช่วง 1H2565
ความเคลื่อนไหวของหุ้นที่กองทุนถือครอง
- บมจ. ปตท. (PTT) – หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค
2565F: EPS 3.74 บาท, PER 9.75 เท่า, Dividend Yield 5.48%, ROE 10.63%, Free Float 57.5%
*PTT เป็นตราสารทุนที่ติด 5 อันดับแรกของกองทุน B-LTF (ข้อมูล ณ วันที่ 29 เมษายน 2565)
- ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มยืนสูงได้นานกว่าที่คาดก่อนหน้านี้ จากแนวโน้มสถานการณ์พลังงานโลกที่ยังคงเผชิญกับอุปทานตึงตัวจากผลกระทบจากการคว่ำบาตรรัสเซียและระดับปริมาณน้ำมันสำรองคงคลังที่ยังคงอยู่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว อีกทั้งอุปสงค์การใช้น้ำมันก็อยู่ในระหว่างการฟื้นตัวซึ่งมีปัจจัยผลักดันจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว
- ตลาดคาดกำไรปกติทรงตัวจากปีก่อนหน้าราว 07 แสนล้านบาท โดยคาดธุรกิจปิโตรเลียมทั้งน้ำมัน ก๊าซฯและโรงกลั่น จะช่วยประคองกำไรหักล้างกับธุรกิจปิโตรเคมีที่คาดจะมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงจาก Supply ใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาด โดยตลาดคาดกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 2Q2565 จะทรงตัวในระดับสูงใกล้เคียงกับงวด 1Q65 รับผลบวกจาก PTTEP ที่คาดกำไรปกติงวด 2Q2565 น่าจะยังโดดเด่นต่อ หากราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในระดับสูงเช่นปัจจุบัน
- คาดจะยังได้รับอานิสงค์จากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูงมากช่วงเดือน เม.ย. และ พ.ค. ที่ผ่านมา รับผลบวกจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะประคองตัวได้ เพราะช่วง 1Q2565 ก็ถือว่าปรับตัวลงไปแล้วในระดับหนึ่ง ขณะที่ธุรกิจโรงแยกก๊าซฯอาจจะปรับตัวลดลงเพราะมีแผน Shut down โรงแยกก๊าซฯหลายหน่วยใน 2Q2565
- บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) – หมวดพาณิชย์
2565F: Norm EPS 1.90 บาท, PER 32.8 เท่า, Dividend Yield 1.5%, ROE 19.0%, Free Float 57.5%
*CPALL เป็นตราสารทุนที่อยู่ใน 5 อันดับแรกของกองทุน B-TOPTENLTF, BBASICDLTF (ข้อมูล ณ วันที่ 29 เมษายน 2565)
- การฟื้นตัวของกำไรปีนี้สะท้อนการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ราว 13% YoY จากการเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ส่วนมาร์จิ้นในช่วง 1H65 อาจโดนกดดันเล็กน้อยจากเงินเฟ้อ
- ภาครัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆอาทิ การเดินทางเข้ามาในประเทศที่สะดวกขึ้น (ยกเลิก Test&Go), การเริ่มเปิดสถานที่ศึกษาและการเริ่มกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ
- ยังคงแผนการเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ราว 700 แห่ง ส่วนกลยุทธ์หลักในการเติบโตคือเน้นไปที่การปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งการปรับสินค้าในร้านให้ตรงความต้องการในแต่ละช่วงเวลา อาทิ ในช่วงไตรมาสที่มีการระบาดของโอมิครอนจะเน้นสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ อย่างชุดตรวจ ATK, หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ส่วนระยะต่อไปจะเน้นอาหารพร้อมทาน (Ready to go) และเครื่องดื่ม (Ready to drink) อาทิ อิ่มคุ้มและอิ่มดื่มให้สอดคล้องกับการเริ่มเปิด Office และโรงเรียน
- รายได้ของกลุ่ม Makro อาจปรับตัวลดลงจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำ SSSG ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า และแรงกดดันจากเรื่องต้นทุนพลังงาน/น้ำมันดีเซลล์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
- บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) – หมวดการแพทย์
2565F: Norm EPS 0.65 บาท, PER 38.2 เท่า, PBV 4.3 เท่า, Dividend Yield 1.3%, ROE 11.6%, Free float 68%
*BDMS เป็นตราสารทุนที่อยู่ใน 5 อันดับแรกของกองทุน B-LTF, BBASICDLTF (ข้อมูล ณ วันที่ 29 เมษายน 2565)
- การฟื้นตัวธุรกิจในปี 2565-2566 ชัดเจนโดยจะขับเคลื่อนจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1) การเติบโตของรายได้บริการ จากการเริ่มกลับเข้ามารักษาของกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ และการขยายกำลังการให้บริการเพื่อรองรับลูกค้ามากขึ้น 2) อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ที่ทำได้ดีขึ้นตามสัดส่วนผู้ป่วยชาวต่างชาติที่สูงขึ้น และการควบคุมต้นทุนที่ทำได้ดีขึ้น
- ตัว BDMS เองมั่นใจภาพฟื้นตัวธุรกิจว่าการเติบโตของรายได้จะมาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ 1) สัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติในงวด 1Q2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% YoY หรือคิดเป็นสัดส่วน 22% ของรายได้รวม เปรียบเทียบกับช่วงก่อน COVID ที่มีสัดส่วนนี้ราว 30% ซึ่งกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติหลัก ยังคงเป็นผู้ป่วยแถบตะวันออกกลางและ CLMV 2) แผนขยายกำลังการให้บริการที่ใช้รองรับผู้ป่วย (Capacity) ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยคาดจะขยายพื้นที่บริการในรพ.เดิมที่มีอัตราการใช้บริการที่สูงอยู่แล้วราว 3 แห่ง (รพ เปาโล พรีเมี่ยม, เปาโล SSO และกรุงเทพอุดร) หนุน Capacity เพิ่มขึ้นราว 7-15% YoY บวกกับในปี 2566 จะยังคงเดินหน้าขยายพื้นที่ในรพ.เดิมต่ออีกราว 2 แห่ง และเปิดศูนย์มะเร็งที่ระยองอีก 1 แห่ง
- ระยะยาว ได้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุใน 2-3 ปีจากนี้มากสุด จากที่ BDMS มีเครือข่าย รพ. ครอบคลุมทั่วประเทศ
- ความเสี่ยงแง่การดำเนินธุรกิจมีดังนี้คือ 1) สภาวะเศรษฐกิจในประเทศของผู้ป่วยต่างชาติที่มารักษาที่เปลี่ยนแปลงไปอาจส่งผลกระทบต่อการเข้ามารักษา 2) การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งหมอและพยาบาล 3) ความเสี่ยงเกี่ยวกับกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง เช่น ควบคุมยา เวชภัณฑ์ และค่ารักษาพยาบาล
ผลการดำเนินงานและความผันผวนของผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 29 เมษายน 2565
ประวัติการจ่ายเงินปันผล
Disclaimer: เอกสารนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องครบถ้วน หรือความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ และบริษัทฯ อาจเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เอกสารนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน มิได้มีวัตถุประสงค์ชักชวน ชี้นำ ให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจลงทุนทางการเงิน หรือการตัดสินใจในทางธุรกิจแต่อย่างใด ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณจากการใช้ข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดของเอกสารฉบับนี้ ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต