“ณ สิ้นเดือนกรกฏาคม พอร์ตการลงทุนเน้นลงทุนในที่เกี่ยวกับการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศที่กำลังเติบโต มี 4 กลุ่มหลัก ดังนี้ 1) กลุ่มวัสดุอุปกรณ์ 19.9% จะลงทุนส่วนใหญ่ใน Sub Sector ที่เป็นเคมีภัณฑ์เช่น ซีเมนต์ เป็นต้น 2) กลุ่มสถาบันการเงิน 19.2% จะลงทุนส่วนใหญ่ในธนาคารและมีบริษัทประกันบางส่วน 3) กลุ่มอุตสาหกรรม 18.2% จะเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ขนส่งและโลจิสติกส์ และ 4) กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 18.2% จะให้น้ำหนักที่กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์
• เศรษฐกิจอินเดียได้แรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ธนาคารกลางอินเดียต้องลดความร้อนแรงเงินเฟ้อลงด้วยการทยอยปรับอัตราดอกเบี้ย ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2565 ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นจาก 4.0% เป็น 4.40% เมื่อ 8 มิ.ย. 2565 มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 50 bps เป็น 4.90% และล่าสุด 5 ส.ค. 2565 ปรับเพิ่มอีก 50 bps มาอยู่ที่ 5.4%
• GDP ในไตรมาส 2/2565 หรือไตรมาสแรกของปีงบประมาณของอินเดียขยายตัว 13.5% YoY จากที่ขยายตัว 4.1% YoY ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้อานิสงส์จากฐานที่ต่ำในช่วงการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Delta ระหว่างเม.ย.-พ.ค. 2564 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจประเทศหลักของโลก แต่ยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ที่ 15.2%
• การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวถึง 25.9% YoY ขณะที่การลงทุนปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ Domestic Demand เติบโตได้ดีในไตรมาส 2/2565 ในขณะที่ การส่งออกสุทธิยังสะท้อนภาพอ่อนแออยู่ โดยแม้ว่า การส่งออกจะขยายตัวได้ แต่การนำเข้าขยายตัวในอัตราที่สูงกว่า
พอร์ตการลงทุน
• ณ สิ้นเดือนกรกฏาคม พอร์ตการลงทุนเน้นลงทุนในที่เกี่ยวกับการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศที่กำลังเติบโต มี 4 กลุ่มหลัก ดังนี้ 1) กลุ่มวัสดุอุปกรณ์ 19.9% จะลงทุนส่วนใหญ่ใน Sub Sector ที่เป็นเคมีภัณฑ์ เช่น ซีเมนต์ เป็นต้น 2) กลุ่มสถาบันการเงิน 19.2% จะลงทุนส่วนใหญ่ในธนาคารและมีบริษัทประกันบางส่วน 3) กลุ่มอุตสาหกรรม 18.2% จะเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ขนส่งและโลจิสติกส์ และ 4) กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 18.2% จะให้น้ำหนักที่กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์
• ตั้งแต่ไตรมาส 2/2022 ผู้จัดการกองทุนลดน้ำหนักในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจาก 9.7% ณ สิ้นมีนาคมที่ผ่านมา เหลือ 4.9% ณ สิ้นกรกฎาคม ในขณะที่เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในส่วนของสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มสถาบันการเงิน
• เมื่อดูลักษณะหุ้นในพอร์ต จะแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) หุ้นที่มีการดำเนินธุรกิจแข็งแกร่ง มีความผันผวนต่ำ สัดส่วนประมาณ 72% 2) หุ้นเติบโต และมีความคาดหวังต่อผลประกอบการสูง สัดส่วน 10% และ 3) หุ้นที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในระยะสั้น สัดส่วนประมาณ 11% ซึ่งจะทำให้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว พอร์ตการลงทุนมีแนวโน้มจะมีความเสี่ยงจำกัด
• ปัจจัยบวกต่อการเติบโตของหุ้นอินเดียมีหลายปัจจัย เช่น Production Linked Incentive Scheme : PLI โครงการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้ขยายการผลิตในอุตสาหกรรมที่ต้องการ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ขนาดใหญ่ แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า อาหาร เป็นต้น ระยะเวลาโครงการ 5 ปี วงเงินรวม 6 หมื่นล้านรูปี และการย้ายฐานการผลิตของบริษัทชั้นนำของโลกจากประเทศจีน มาที่อินเดียบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทคโนโลยี เคมีภัณฑ์ และผู้ผลิตชิ้นส่วน หรือที่เรียกว่า China+1
Disclaimer: เอกสารนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องครบถ้วน หรือความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ และบริษัทฯ อาจเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เอกสารนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน มิได้มีวัตถุประสงค์ชักชวน ชี้นำ ให้ความเห็น
หรือคำแนะนำในการตัดสินใจลงทุนทางการเงิน หรือการตัดสินใจในทางธุรกิจแต่อย่างใด ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณจากการใช้ข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดของเอกสารฉบับนี้
ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุในคู่มือการลงทุน ในกองทุน RMF/SSF ก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่ง ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต