โดย…พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM
ตอนนี้ค่าเงินบาทไทย เรียกได้ว่า อ่อนค่าที่สุดในรอบ 16 ปี โดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 37 บาทจนทะลุ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว สาเหตุหลักก็มาจากมาตรการด้านการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อ อย่างเข้มข้น ตามที่ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ได้ประกาศไว้ว่า “คณะกรรมการเฟดกำลังทำงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อลดเงินเฟ้อลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% และจะทำจนกว่าสำเร็จให้ได้” นับว่าเป็นการส่งสัญญาณเอาจริงและยอมรับผลที่อาจจะตามมา ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาหนี้สินธุรกิจ
ปัญหาหนี้สินครัวเรือน จากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินที่อ้างอิงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงปัญหาว่างงานที่อาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฟดเชื่อว่า เป็นการคุ้มค่าที่จะแลก เพราะถ้าหากปล่อยให้เงินเฟ้อยาวนานกว่านี้ อาจจะแก้ไขไม่ได้จนส่งผลร้ายแรงมากกว่า
สถานการณ์ในตอนนี้ สำหรับนักลงทุน คาดว่าน่าจะกังวลใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม่รู้และไม่แน่ใจว่าควรต้องปรับพอร์ตลงทุนยังไงดี? เนื่องจากสินทรัพย์ในการลงทุนหลายๆ อย่างในช่วงนี้ โดยเฉพาะหุ้น ไม่ว่าจะเป็น หุ้นไทย หรือหุ้นต่างประเทศ ต่างให้ผลตอบแทนที่ติดลบ ในส่วนของการลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้เอง แม้ว่าจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก แต่เมื่อเทียบกับผลตอบแทนในช่วง 10 ปีกว่าที่ผ่านมา ก็จะพบว่าให้ผลตอบแทนไม่มากนัก ทำให้ภาพรวมพอร์ตการลงทุนของเราในตอนนี้ ไม่ค่อยจะสดใสอย่างที่คาดหวังไว้
โดยสิ่งสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนอย่างเรา สามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ นั่นคือ “การทำความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น – ทบทวนเป้าหมายในการลงทุน – ตั้งรับปรับพอร์ต – อดทนรอคอย” ซึ่งความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยในตอนนี้ เราต้องเข้าใจว่า ปัจจัยสำคัญเกิดจากนโยบายการเงินของสหรัฐ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ รวมถึงช่องว่างที่เป็นความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องกันไป หรือจะเป็นความยืดเยื้อของปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ เป็นต้น สถานการณ์ต่างๆ นี้ ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในทุกสินทรัพย์ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมา ถ้าไม่นับช่วงพีคของตลาดหุ้นเทคโนโลยีในช่วงโควิดระบาดใหม่ๆ ก็แทบจะไม่มีสินทรัพย์ลงทุนอะไรเลยที่ให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างโดดเด่น
ดังนั้น สิ่งต่อมาที่นักลงทุนควรทำ คือ ทบทวนเป้าหมายในการลงทุน เพราะเป้าหมายบางอย่างอาจไม่ได้เป็นเป้าหมายสำคัญของเราอีกต่อไป เราก็อาจพิจารณายกเลิกเป้าหมายนั้น เพื่อนำเงินไปจัดสรรรลงทุนในเป้าหมายใหม่แทน หรือถ้าหากทบทวนแล้วพบว่า เป้าหมายของเรายังคงเดิม แต่ด้วยสถานการณ์ลงทุนที่เปลี่ยนไป ก็อาจจะทำให้เราต้องปรับสัดส่วนพอร์ตลงทุนใหม่ รวมถึงประเมินผลตอบแทนคาดหวังของพอร์ตลงทุนนั้นใหม่อีกครั้ง
สำหรับการลงทุนในช่วงนี้ การลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ นับว่ามีความน่าสนใจ แม้ว่าจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่หวือหวาหรือมากพอที่จะชนะเงินเฟ้อ แต่ก็เป็นการลงทุนที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจได้บ้างในช่วงนี้ เพราะสามารถประมาณการณ์ผลตอบแทนในอนาคตได้ในระดับหนึ่ง และมีความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาค่อนข้างน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ลงทุนอื่น ส่วนการลงทุนในหุ้นไทย คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบจากการที่นักลงทุนต่างชาติขายคืน เพราะค่าเงินบาทอ่อน ทำให้แลกคืนกลับเป็นสกุลเงินดอลลาร์ได้น้อยลง แต่ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนไทย ในการเข้าซื้อหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและราคาย่อมเยา แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่า คงต้องถือครองยาวอย่างน้อยๆ สัก 5 ปี เพื่อรอให้ภาคธุรกิจได้ปรับตัว และรอให้เศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวกลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวม ที่ผ่านมา ก็มักเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และเฮลธ์แคร์ในตลาดหุ้นฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งนับจากนี้ ก็น่าจะยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีกตามเทรนด์โลกแต่อัตราการเติบโตอาจไม่ได้หวือหวาอย่างที่ผ่านมา ดังนั้น เราจึงควรปรับลดความคาดหวังจากผลตอบแทนในพอร์ตลงทุนของเราด้วย
ปิดท้ายด้วยการวัดความเข้มแข็งทางจิตใจของนักลงทุน นั่นคือ การรอคอย เพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในตอนนี้ บอกได้เลยว่าค่อนข้างใช้ระยะเวลานานกว่าจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ซึ่งสำหรับนักลงทุนคนรุ่นใหม่ อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับการรอคอย แต่สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เราผ่านเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้มาหลายครั้ง และก็อย่างที่เราบอกกันเสมอว่า “ทุกวิกฤตมีโอกาสในการลงทุน” และรางวัลมีสำหรับคนที่เข้าใจ ปรับตัว และอดทนรอคอยได้เท่านั้น