โดย พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยมักจะพบในประเทศที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว ซึ่งในการขยายตัวก็มักจะมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ สะสมกันไป และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยชั่วคราว คล้ายกับเป็นการ RESET เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ เรียกว่าเป็น Expansion-Recession ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกๆ 4 – 5 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว และกลับมองว่าเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนด้วยซ้ำไป แต่สำหรับครั้งนี้อาจไม่เหมือนกับที่ผ่านมา
โดยภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ในตอนนี้ ขยายตัวเป็นวงกว้างระดับโลก เรียกได้ว่าเป็น Global Recession ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจาก Global Health Crisis นั่นคือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แถมยังมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย ที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมาก ประกอบกับการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป จนทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อที่ยาวนาน และส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงไทยเราเองก็ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจไปด้วยเช่นกัน
สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนในหุ้น ไม่ว่าจะเป็น หุ้นไทยหรือหุ้นต่างประเทศ คาดว่าน่าจะมีความกังวลใจอยู่พอสมควร เนื่องจากผลตอบแทนหดหายไปจากเดิมค่อนข้างมาก และบางคนอาจจะหดหายไปเยอะมากๆ จนกลายเป็นขาดทุนไปเลยก็ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นักลงทุนกลับมาทบทวนพอร์ตลงทุนของตัวเอง และเกิดความสงสัยว่า เราควรจะลงทุนต่อเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนดีไหม? หรือจะขายคืนออกไปเพื่อหยุดขาดทุน (Stop Loss)? หรือจะเลือกอยู่เฉยๆ เพื่อรอให้พายุเศรษฐกิจลูกนี้คลี่คลายไปก่อนดี?
คำถามนี้ตอบได้ค่อนข้างยาก เพราะนักลงทุนแต่ละคนมีความพร้อม และมีเป้าหมายในการลงทุนที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้ นั่นคือ การมีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอ เพื่อรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น การถูกปรับลดเงินเดือน การที่ค่าใช้จ่ายจำเป็นบางอย่างแพงขึ้นจากปัญหาเงินเฟ้อ และแย่ที่สุด คือ การถูกเลิกจ้าง ดังนั้น การมีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอ จะช่วยให้เรารู้สึกมั่นใจและมั่นคงทางการเงิน ทำให้สามารถวางแผนลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับพอร์ตลงทุนในช่วงนี้ นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้น อาจต้องพิจารณาเป้าหมายในการลงทุนของตัวเอง ควบคู่ไปกับการปรับพอร์ตลงทุนให้เหมาะสม โดยคำว่า “เหมาะสม” คือ มีความสอดคล้องกันระหว่างเป้าหมายในการลงทุน ความต้องการของตัวเอง ผลตอบแทนคาดหวัง ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง และสถานการณ์ลงทุนในปัจจุบัน ซึ่งสำหรับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ ในตอนนี้ IMF บอกว่าเราเดินทางมาแค่ 25% เท่านั้น ยังไม่ถึงครึ่งทางของพายุเศรษฐกิจลูกนี้เลย
ดังนั้น สำหรับผู้ลงทุนที่มีความพร้อมทางการเงิน เข้าใจสถานการณ์ลงทุน และสามารถอดทนรอได้ ก็อาจพิจารณาเลือก “ลงทุนเพิ่มเติม” ในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปได้ตามเทรนด์โลกในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี รวมถึงพลังงานทดแทน โดยแนะนำให้ทยอยเข้าซื้อ เพื่อสะสมต้นทุนในราคาที่ย่อมเยา เพื่อรอคอยฟ้าที่สดใสหลังพายุ
แต่สำหรับผู้ลงทุนที่รู้สึกไม่สบายใจ ก็อาจพิจารณาเลือก “หยุดเพื่อรอ” ให้ฝนซาและค่อยเข้าไปลงทุนเพิ่มเมื่อเริ่มเห็นแสงแดดแบบนี้ก็ได้ หรือถ้าหากอยากพักใจก็สามารถเลือก “ขายคืนเพื่อตัดขาดทุน” โดยอาจจะขายคืนทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ และนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่สบายใจมากกว่า อย่างตราสารหนี้ ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แม้ว่าอาจจะให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าเงินเฟ้อก็ตาม หรืออาจจะเลือกลงทุนในหุ้นไทยที่กำลังมีปัจจัยบวกในช่วงนี้ อย่างหุ้นกลุ่มธนาคาร อาหาร การเกษตร การท่องเที่ยว และพลังงานทดแทนก็นับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน
สุดท้ายนี้ อยากให้ผู้ลงทุนทุกคนเข้าใจว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ เพียงแต่ว่าครั้งนี้อาจจะหนักไปสักหน่อย เพราะเกิดปัญหาพร้อมกันทั่วโลกจนกลายเป็น Global Recession แต่ถ้าหากเราเตรียมพร้อมทางการเงิน มีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอ มีเป้าหมายในการลงทุนที่ชัดเจนแล้ว ลำดับถัดไปที่เราสามารถทำได้นั่น คือ ทำความเข้าใจ ติดตามเรียนรู้ และปรับตัวอยู่กันไป ที่สำคัญคือ ขอให้อดทนรอ เพราะหลังพายุท้องฟ้าจะงดงามเสมอ