โดย พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM
ปัจจุบันโลกของเรา กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้นักลงทุนหลายๆ คน เริ่มเห็นความสำคัญของการติดตามข่าวสารการลงทุน เพราะอยากที่จะคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจโลก เพื่อนำมาปรับใช้กับพอร์ตลงทุนของตัวเอง บ้างก็เพื่อแสวงหาโอกาสในการลงทุน บ้างก็แค่อยากประคับประคองการลงทุนของตัวเองให้มั่นคงอยู่ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง
สำหรับทิศทางของเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ก็คงหนีไม่พ้นการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเต็มตัว โดยมีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยหลัก นั่นคือ นโยบายการเงินของสหรัฐฯ การขับเคลื่อนของเศรษฐกิจจีน และปัญหาพลังงานในยุโรป ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะเป็นสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ และคาดว่าน่าจะต้องเผชิญกันต่อไปในปีหน้า ด้วยอัตราความเข้มข้นที่มากกว่าเดิม
สำหรับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่ต้องจับตามองแบบกระพริบตาไม่ได้เลย นั่นคือ การที่เฟดปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบรุนแรง รวดเร็ว และต่อเนื่อง โดยคาดหวังที่จะแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมานาน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการทำ QE เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากจนเกินไป ทั้งนี้ เฟดน่าจะพิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยไปอีกเรื่อยๆ จนถึงเดือน ก.พ. 2566 คาดการณ์ว่า ภาพรวมทั้งหมดน่าจะปรับเพิ่มขึ้นไปรวมๆ แล้วเกือบ 5% และปัญหาเงินเฟ้อน่าจะคลี่คลายลงไปราวๆ กลางปี 2566 โดยน่าจะเห็นภาพได้จากราคาสินค้า ราคาขนส่งต่างๆ ปรับเข้าสู่สมดุลมากขึ้น ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ อาจจะต้องรอคอยกันอีกสักหน่อย
ในส่วนของเศรษฐกิจจีน ในภาพรวมยังไม่มีอะไรน่ากังวลใจ เพราะประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ยังคงบริหารประเทศตามเดิม รูปแบบการเติบโต การเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจก็น่าจะไม่แตกต่างไปจากเดิม (พอทำให้เราคาดเดาทิศทางได้) โดยจีนยังคงเลือกที่จะเปิดประเทศแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็อาจจะมีติดชะงักไปบ้าง จากนโยบายบริหารที่ต้องการให้โรคระบาดเป็นศูนย์ นอกจากนี้ยังคงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง จะเห็นได้ว่า จีนน่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกตอนนี้ที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ และมีความพยายามที่จะลดดอกเบี้ย สาเหตุหลักก็เพื่อประคับประคองภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ไม่พังทลาย
อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องจับตามองด้วยเหมือนกัน นั่นคือ ปัญหาพลังงานในยุโรป ซึ่งต้องบอกว่ากระทบไปทั่วโลกจริงๆ เพราะในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย พอมีปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันเข้าไปอีก ก็เหมือนเป็นการสมทบให้ปัญหาใหญ่มากขึ้นไปอีก แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่า ราคาพลังงาน ค่อนข้างที่จะมีความผันผวน และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ภูมิอากาศ พลังงานทดแทน เป็นต้น
ทั้ง 3 ปัจจัยหลักที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องที่นักลงทุนทุกคนควรที่จะติดตามข่าวสาร เพื่อนำข้อมูลมาคิดทบทวน วิเคราะห์ แยกแยะ และนำมาปรับใช้กับพอร์ตการลงทุนของเราให้เหมาะสมกับเป้าหมาย ความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ รวมถึงระยะเวลาในการลงทุน โดยสถานการณ์ลงทุนในช่วงนี้ ก็อย่างที่เราเข้าใจกันดีว่า “เปลี่ยนแปลงได้ตลอด” และ “เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว” ดังนั้น ในการลงทุนอาจต้องพิจารณาเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง หรือเลือกลงทุนในธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วตาม เทรนด์โลก รวมถึงตัวเราเองก็ต้องหมั่นอัพเดทข้อมูล ความรู้เรื่องการลงทุน และความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ลงทุนใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อที่จะสามารถคว้าโอกาส รวมถึงหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอันเนื่องมาจากการตกข่าว