กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นอินเดียมิดแคปเพื่อการเลี้ยงชีพ(B-INDIAMRMF) Q4/2022

กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นอินเดียมิดแคปเพื่อการเลี้ยงชีพ(B-INDIAMRMF) Q4/2022

“ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้น ดังต่อไปนี้
กลุ่มการผลิต ได้ประโยชน์จาก Production Linked Incentive Scheme : PLI, โครงการ China+1, การลดภาษีนิติบุคคล และนโยบายส่งเสริมการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า

กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะได้ประโยชน์จากปฏิรูปภาษี และการฟื้นตัวของการจับจ่ายใช้สอยหลังโควิด

ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกฎหมายการควบคุมด้านอสังหาริมทรัพย์ (RERA) ที่ทำให้ตลาดมีความโปร่งใสมากขึ้น และมีการดูแลให้การก่อสร้างเป็นไปตามกำหนดเวลา”

• ตลาดหุ้นอินเดียในปี 2565 มีผลการดำเนินงานที่ดีเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market) โดยเมื่อดูย้อนหลัง 12 เดือน Nifty ปรับตัวลดลง -7.74% และ Sensex ลดลง -7.23% ในขณะที่ MSCI EM ลดลง -32.94% และเมื่อดูย้อนหลัง 3 เดือนที่ผ่านมา Nifty ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.64% Sensex เพิ่มขึ้น 1.15% ในขณะที่ MSCI EM ลดลง -14.65% (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 65) มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดีย ทั้งจากนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศ
• การเติบโตของการบริโภคของคนเมืองเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่การบริโภคในชนบทยังอ่อนแอ ซึ่งการบริโภคในเมืองจะมีลักษณะ Premiumization ส่งผลบวกต่อกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ยานยนต์ กลุ่มการชาระเงิน และกลุ่มเดินทางท่องเที่ยว เมื่อดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสล่าสุด (Q2FY23) มีความแตกต่างกันในแต่ละธุรกิจ โดยธุรกิจที่เน้นในประเทศจะมีผลประกอบการที่ดีกว่าธุรกิจที่พึ่งพาต่างประเทศ เพราะธุรกิจที่ติดต่อต่างประเทศได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
• แรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อของอินเดียลดลง โดยเงินเฟ้อเดือนก.ย. อยู่ที่ 7.4% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาครัฐคาดว่า เงินเฟ้อจะปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 6% ในต้นปีหน้า ซึ่งเป็นระดับที่ไม่น่ากังวล


พอร์ตการลงทุน
• ณ สิ้นเดือนตุลาคม พอร์ตการลงทุนเน้นลงทุนในที่เกี่ยวกับการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศที่กำลังเติบโต มี 4 กลุ่มหลัก ดังนี้

1) กลุ่มวัสดุอุปกรณ์ 19.7% จะลงทุนส่วนใหญ่ใน Sub Sector ที่เป็นเคมีภัณฑ์เช่น ซีเมนต์ เป็นต้น

2) กลุ่มสถาบันการเงิน 19.6% จะลงทุนส่วนใหญ่ในธนาคารและมีบริษัทประกันบางส่วน

3) กลุ่มอุตสาหกรรม 18.8% จะเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ขนส่งและโลจิสติกส์

และ 4) กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 13.3% จะให้น้ำหนักที่กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งน้าหนักการลงทุนไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนมากนัก


• ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นดังต่อไปนี้
o กลุ่มการผลิต ได้ประโยชน์จาก

1) Production Linked Incentive Scheme : PLI (โครงการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้ขยายการผลิตในอุตสาหกรรมที่ต้องการ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ขนาดใหญ่ แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า อาหาร เป็นต้น)

2) โครงการ China+1 (การย้ายฐานการผลิตของบริษัทชั้นนำของโลกจากประเทศจีน มาที่อินเดียบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทคโนโลยี เคมีภัณฑ์ และผู้ผลิตชิ้นส่วน)

3) การลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 25% และสำหรับโรงงานที่ตั้งใหม่มีอัตราภาษีที่ถูกลงอีก

4) นโยบายส่งเสริมการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยพอร์ตมีหุ้นในกลุ่มการผลิตประมาณ 23%
o กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะได้ประโยชน์จากปฏิรูปภาษี และการฟื้นตัวของการจับจ่ายใช้สอยหลังโควิด ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าจาเป็น สินค้าคงทน และ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยพอร์ตมีหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ประมาณ 17.5%
o ภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้รับการสนับสนุนจากกฎหมายการควบคุมด้านอสังหาริมทรัพย์ (RERA) ที่ทาให้ตลาดมีความโปร่งใสมากขึ้น และมีการดูแลให้การก่อสร้างเป็นไปตามกาหนดเวลา โดยหุ้นที่เกี่ยวข้องได้แก่ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อ กลุ่มซีเมนต์และกลุ่มเหล็ก โดยพอร์ตมีหุ้นเหล่านี้ประมาณ 12.2%

Disclaimer: เอกสารนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทัว่ ไป โดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องครบถ้วน หรือความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ และบริษัทฯ อาจเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เอกสารนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่ วน มิได้มีวัตถุประสงค์ชักชวน ชี้นำ ให้ความเห็น
หรือคำแนะนำในการตัดสินใจลงทุนทางการเงิน หรือการตัดสินใจในทางธุรกิจแต่อย่างใด ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณจากการใช้ข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดของเอกสารฉบับนี้ ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุในคู่มือการลงทุน ในกองทุน
RMF/SSF ก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสงิ่ ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต