สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 ว่า องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (OPEC) คาดการณ์ว่า ดีมานด์น้ำมันทั่วโลกจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2566 โดยความต้องการน้ำมันของโลกในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) หรือประมาณ 2.3% โดยมีโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจจากการผ่อนคลายนโยบายปลอดโควิดของจีน ซึ่งในปีนี้ส่งผลให้การใช้น้ำมันของประเทศหดตัวลงครั้งแรกในรอบหลายปี
“แม้ว่า ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงในการเติบโตของเศรษฐกิจหลักยังคงเอียงไปทางขาลง แต่ปัจจัยด้านบวกที่อาจถ่วงดุลกับความท้าทายทั้งในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นเช่นกัน”
OPEC ระบุในรายงานว่า “การแก้ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปตะวันออกและการผ่อนคลายนโยบายปลอดโควิดของจีนอาจให้โอกาสในการกลับหัวกลับหาง”
ขณะที่ความต้องการของจีนซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโควิด จะอยู่ที่เฉลี่ย 14.79 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2565 ลดลง 180,000 บาร์เรลต่อวันจากปี 2564 ด้านตัวเลขของ OPEC ในสื่อสิ่งพิมพ์อีกฉบับ คือ Annual Statistical Bulletin แสดงให้เห็นว่า ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2560-2564
ในรายงานดังกล่าว OPEC ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2565 เป็น 2.8% และปล่อยให้ปี 2566 คงที่ที่ 2.5% นอกจากการผ่อนคลายนโยบายโควิดของจีนแล้ว รายงานยังระบุแหล่งที่มาอื่นๆ ของอัพไซด์ รวมทั้งการอ่อนตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
“มีศักยภาพขาขึ้น หรืออย่างน้อยก็มีปัจจัยถ่วงดุล อาจมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐประสบความสำเร็จในการจัดการการนโยบายการเงินในสหรัฐ รวมทั้งจากการผ่อนคลายราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างต่อเนื่องและการคลี่คลายความตึงเครียดในยุโรปตะวันออก”
ทั้งนี้ ราคาน้ำมัน ซึ่งเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนมีนาคม 2565 หลังรัสเซียรุกรานยูเครน ได้ปรับตัวดีขึ้นจากกำไรส่วนใหญ่ในปี 2565 ราคาน้ำมันดิบซื้อขายกันประมาณ 80 ดอลลาร์ในวันอังคาร (13 ธ.ค.)
รายงานยังแสดงให้เห็นว่า การผลิตของ OPEC ลดลงในเดือนพฤศจิกายน หลังจากกลุ่มพันธมิตร OPEC + ให้คำมั่นว่าจะลดกำลังการผลิตลงอย่างมาก เพื่อสนับสนุนตลาดท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่แย่ลงและราคาที่อ่อนตัวลง สำหรับเดือนพฤศจิกายน เมื่อราคาอ่อนตัวลง OPEC+ ตกลงที่จะลดเป้าหมายการผลิตลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันแรกของการแพร่ระบาดในปี 2563 ส่วนแบ่งของการปรับลดของโอเปกอยู่ที่ 1.27 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ในรายงาน OPEC กล่าวว่า ผลผลิตในเดือนพฤศจิกายน ลดลง 744,000 บาร์เรลต่อวัน จากเดือนตุลาคมเหลือ 28.83 ล้านบาร์เรลต่อวัน นำโดยซาอุดีอาระเบีย ผู้ส่งออกรายใหญ่และผู้ผลิตรายใหญ่อื่นๆ เช่น อิรัก
ที่มา: รอยเตอร์