เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2566 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในวันจันทร์ก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เนื่องจากนักลงทุนกำลังประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปหรือไม่ ในขณะที่ ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของความต้องการเชื้อเพลิงของจีนและกำลังการผลิตน้ำมันดิบของรัสเซียที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อตลาด
โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 97 เซนต์ หรือ 1.3% สู่ระดับ 73.82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายในเวลา 04.37 GMT ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 69.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 1.3% เช่นกัน
ซึ่งเกณฑ์มาตรฐานทั้งสองปรับลดลงเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังของจีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของอุปสงค์ในผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งชดเชยการเพิ่มขึ้นของราคาจากซาอุดีอาระเบียที่ให้คำมั่นว่าจะลดการผลิตลง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ในเดือนกรกฎาคม
ฟรานซิสโก บลันช์ จาก Bank of America Global Research กล่าวว่า “ผู้จัดสรรตลาดขาลงจะรักษาความได้เปรียบไว้ได้ เนื่องจากราคาน้ำมันต้องดิ้นรนเพื่อปรับตัวขึ้นจนกว่าเฟดจะผ่อนคลายนโยบาย” พร้อมทั้ง คาดว่า ราคาน้ำมันดิบ Brent จะเฉลี่ยอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2566
ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์มีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่นๆ และเป็นการถ่วงราคา ผู้เข้าร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินในวันพุธ (14 มิ.ย.2566)
ด้าน Goldman Sachs ปรับลดการคาดการณ์ราคาน้ำมันจากกำลังการผลิตที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้จากรัสเซียและอิหร่าน และเพิ่มการคาดการณ์กำลังการผลิตในปี 2567 สำหรับผู้ผลิตทั้งสองรายและเวเนซุเอลารวม 800,000 บาร์เรลต่อวัน
ที่มา: รอยเตอร์