BBLAM Weekly Investment Insights 10 – 14 กรกฎาคม 2023

BBLAM Weekly Investment Insights 10 – 14 กรกฎาคม 2023

2023 – The Rise of Asia

INVESTMENT STRATEGY

By BBLAM

“B-SELECT Q3 2023 ผู้จัดการกองทุนมองว่า ยังเป็นเวลาที่สะสมต่อใน 2 กองทุน กองทุนแรก ได้แก่ B-DYNAMIC BOND ซึ่งกองทุนให้น้ำหนักกับ ตราสารหนี้รัฐ และตราสารหนี้ Investment grade เพราะตราสารหนี้น่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบ Risk premium จากลงทุนหุ้น บวกกับ Yiled ปรับลงก็เป็นโอกาส ขณะที่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังน่าสนใจในบางกลุ่ม ซึ่งกลุ่มเทคฯ ก็เป็นตัวเลือกที่ดี B-INNOTECH จึงยังสะสมต่อ นอกจากนี้ ยังเพิ่ม 2 กองทุนเพื่อสะสม ได้แก่ B-NIPPON และ B-BHARATA โดย ตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนน่าสนใจ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากทั้งเรื่องของเศรษฐกิจมหภาค และตลาดการเงินภายในประเทศ ส่วนตลาดหุ้นอินเดีย ผลประกอบการที่ออกมาดี (12% YoY) ทำให้มีการปรับ EPS ในปีนี้ขึ้น (17%) ในขณะที่ Forward PE อยู่ที่ค่าเฉลี่ย 19.5x ดอกเบี้ยมีแนวโน้มทรงตัว”

background-3.jpg

B-SELECT เป็นการแนะนำกองทุนที่คาดว่า จะได้รับผลตอบแทนที่ดีใน 6-12 เดือนข้างหน้า กองทุนที่แนะนำให้เข้าซื้ออาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละไตรมาส โดยหลักการพิจารณากองทุนที่แนะนำจะพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานด้านแมคโคร ด้านพื้นฐานของบริษัท พื้นฐานของกองทุน และราคาเป็นหลัก  

นายดนัย อรุณกิตติชัย Head of Investment strategist จาก BBLAM มองว่า ในไตรมาส 3 ปีนี้ ยังคงแนะนำสะสมต่อในกองทุนที่เน้นลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกแบบยึดหยุ่น ได้แก่ B-DYNAMIC BOND สำหรับการลงทุนในหุ้น จำเป็นต้องลงทุนแบบ “เลือกลงทุน” โดยธีมเทคโนโลยียังถือเป็นหุ้นยืนพื้นที่น่าลงทุน แนะนำสะสมต่อในกองทุน B-INNOTECH แต่ไตรมาสนี้อาจแตกต่างจากไตรมาสก่อน ๆ เพราะเพิ่ม 2 กองทุนเข้ามาให้สะสมในพอร์ต ได้แก่ กองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ได้แก่ B-NIPPON และกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ได้แก่ B-BHARATA

B-DYNAMIC BOND

ผลตอบแทนในกลุ่มตราสารหนี้ดูน่าสนใจเมื่อเทียบกับ Risk Premium ในตราสารทุน จาก Yield ที่สูงขึ้นและโอกาสของการปรับตัวลดลงของ YTM

Yield-to-Maturity ของตราสารหนี้ปรับตัวสูงขึ้นมามากในปีนี้ ทำให้การลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้มีความสนใจ นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับวัฏจักรของเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน โดยเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัวลงจะส่งผลให้การคาดการณ์เงินเฟ้อค่อยๆ ปรับลดลง ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะลดลง ส่งผลดีต่อราคาของตราสาร แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะส่งสัญญาณในลักษณะที่เป็น “Hawkish Pause” แต่โอกาสที่ดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงคล้ายปี 2022 นั้นมีน้อยมาก

นอกจากนี้ การวาง Position โดยเน้นไปที่กลุ่มพันธบัตรรัฐบาลจะทำให้การลงทุนมีลักษณะเป็น “Recession Hedge” โดยหากเศรษฐกิจปรับตัวลดลงมากกว่าคาดในลักษณะ “Hard Landing” จะทำให้ธนาคารกลางต้องหันกลับมาดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายโดยเฉพาะการปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาของตราสารหนี้ในกลุ่มพันธบัตรรัฐบาล ทำให้การมี B-Dynamic ในพอร์ตฟอลิโอจะช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้าได้

จุดเด่นของกองทุน B-Dynamic คือ การลงทุนในลักษณะ Fund of Funds ที่ช่วยลดความยุ่งยากในการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีหลายกลุ่ม หลายรูปแบบ และมีปัจจัยผลักดันราคาที่แตกต่างกันได้

BBLAM แนะนำ กองทุนลงทุนตราสารหนี้เน้นยืดหยุ่น : B-DYNAMIC BOND และ

กองทุนลดหย่อนภาษี ใหม่ 2 กองทุน : B-DYNAMICRMF และ B-DYNAMICSSF ข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่

B-INNOTECH

ภาวะตลาดการเงินกลับมาอยู่ในโหมด Risk-on แม้ว่า Fed จะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้ โดยกลุ่มที่นำตลาดขึ้นมาจากกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคารและเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯลดลง ทำให้ประเด็นสำคัญกลับมาอยู่ที่แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออีกครั้ง นักลงทุนยังคงคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปยังน่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายในอีก 1 ปีข้างหน้า หลังจากนโยบายการเงินปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก และน่าจะทรงตังอยู่ในระดับสูง รวมถึงผลกระทบจากภาคธนาคารที่อาจทำให้สินเชื่อตึงตัว และสภาพคล่องลดลงในระยะต่อไป

ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนต่อการเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี คือ การคาดหวังรายได้ที่เพื่มขึ้นจากการนำเสนอบริการที่เกี่ยวข้องกับ AI (Monetizing AI) ต่างๆ ที่คาดว่าจะขยายไปได้เร็ว และมี Competitive Edge เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่พัฒนาตามไม่ทัน ในขณะที่ ดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นส่วนสำคัญของต้นทุนทางการเงินน่าจะใกล้เข้าสู่ช่วงท้ายของการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 1-2 ครั้ง ในขณะที่ เศรษฐกิจยังคงมีความยืดหยุ่นและปรับตัวกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นได้ดี และมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนในระยะต่อไป นอกจากนั้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเติบโตยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากความผันผวนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญด้วย

แนวโน้มในช่วงสั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับฐาน เนื่องจากระดับ Valuation ที่ค่อนข้างสูงในปัจจุบัน ทำให้อาจเป็นโอกาสอันดีในการทยอยสะสมกองทุน B-INNOTECH ยกเว้นหากผลประกอบการไตรมาสสองออกมาดี อาจทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้ต่อได้

กองทุน B-INNOTECH ยังเป็นกองทุนที่เห็นผลตอบแทนโดดเด่น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แม้มุมมองเกี่ยวกับหุ้นสหรัฐฯโดยรวม ณ ปัจจุบัน คือ การคงสัดส่วน (Neutral) เนื่องจากระดับการซื้อขายที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่คาดว่าในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่น โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี ทำให้ยังคงแนะนำสะสม B-INNOTECH เพื่อการลงทุนและเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตฟอลิโอทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อมีการปรับตัวลดลงมา

BBLAM แนะนำกองทุนลงทุนในเทคโนโลยี แต่พยายามเฟ้นหาหุ้นเทคฯ พื้นฐานดี มูลค่ายังน่าลงทุน : B-INNOTECH หรือกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ B-INNOTECHRMF และ B-INNOTECHSSF

B-NIPPON

นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ แรงกดดันด้านต้นทุนทางการเงินน้อยกว่าสหรัฐฯ และยุโรป ในขณะที่ เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นแม้อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ แต่ในระยะสั้นน่าจะเปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรรวมถึง ROE ที่ดีขึ้น

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมาอันเกิดจากหลากหลายปัจจัยทั้งเรื่องต่างๆ ได้แก่

  • เศรษฐกิจมหภาคในประเทศ เช่น เรื่องของแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนให้ดีขึ้น  การคาดการณ์เรื่องของการปรับ Yield Curve Control ที่อาจทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (JGB) เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินเยนอาจกลับมาแข็งค่า การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ
  • ปัจจัยภายในประเทศ เช่น การหันกลับมาลงทุนในประเทศของนักลงทุนสถาบัน แนวโน้มการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน และ
  • ระดับ Valuation ที่น่าสนใจ สะท้อนจาก Equity Risk Premium ของตลาดญี่ปุ่นที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว

ในช่วงสั้นแม้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะปรับตัวขึ้นมามากแล้ว แต่ยังคาดว่าจะมีโอกาสในการลงทุนสำหรับระยะข้างหน้า โดยหากพิจารณาในเชิงเปรียบเทียบกับประเทศหลักๆ ทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ที่คงมีความไม่แน่นอนบางส่วนเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ในขณะที่ การปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบันในประเทศน่าจะมีต่อเนื่องซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนตลาดหุ้นในระยะข้างหน้า

กองทุน Master Fund ของ B-NIPPON คือ Nomura Japan High Conviction Fund เพิ่มน้ำหนัก (Overweight) ในกลุ่ม Defensive ได้แก่ Consumer และ Medical และลดน้ำหนัก (Underweight) ในกลุ่ม Electronics ซึ่งแม้ในช่วงที่ผ่านมากลุ่ม Electronics จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด แต่คาดว่าในอนาคตอาจจะมี Sector Rotation ไปยังกลุ่มอื่น ๆ บ้าง ซึ่งกองทุนจะได้รับประโยชน์

BBLAM แนะนำกองทุนลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น : B-NIPPON

B-BHARATA

ปัจจัยเชิงบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย มาจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยต่างประเทศ โดยปัจจุบันอินเดียมีจำนวนประชากรสูงถึง 1,425 ล้านคน แซงหน้าจีนกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก และมีอายุเฉลี่ยเพียง 28 ปี ส่งผลให้อินเดียจะเป็นประเทศที่มีการใช้จ่ายบริโภคในระดับสูง รวมถึงมีการขยายความเป็นเมืองมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Urbanization) โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัวในระดับสูงถึง 5.9% ในปี 2023

ความขัดแย้งที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้ภาคธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก เริ่มพิจารณากระจายฐานการผลิตออกจากจีนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของฐานการผลิต (Friend-shoring of supply chains) โดยอินเดียถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีเงินลงทุน FDI เข้ามาลงทุนในอินเดียกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2023

นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่ปรับลดลงจากจุดสูงสุด ส่งผลให้ RBI ประกาศคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 6.5% ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงบวกให้กับตลาดหุ้น ขณะที่ราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง ช่วยคลายความกดดันด้านต้นทุนการผลิตให้กับภาคธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยจากการสำรวจของ Bloomberg คาดว่าบริษัทใน MSCI India จะมี EPS Growth สูงถึง 18% ในปี 2023

BBLAM แนะนำกองทุนลงทุนอินเดีย : B-BHARATA หรือกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ B-INDIAMRMF

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://www.bblam.co.th/bualuang-insights/bblam-investment-insights/10-14-2023-1