เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า โกลด์แมน แซคส์ ปรับคาดการณ์ความต้องการ “น้ำมัน” ทั่วโลกสำหรับปี 2566 โดยคงราคาน้ำมันดิบเบรนต์ในรอบ 12 เดือน ไว้ที่ 93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากสินค้าคงคลังที่รับรู้สูงขึ้น ชดเชยความต้องการที่เพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ประเมินว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 102.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากมองเห็นความต้องการที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ขาดดุลเกินคาด 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และขาดดุล 0.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2567
นักวิเคราะห์ ระบุว่า ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ลดลงและความพยายามที่แข็งแกร่งขององค์กรประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ในการผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น ได้สนับสนุนมุมมองของโกลด์แมน แซคส์ เกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและแนวโน้มความผันผวนที่น้อยลง
ขณะที่ ในวันที่ 31 ก.ค. 2566 ราคาน้ำมันลอยตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นรายเดือนมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปี จากการคาดการณ์ที่ว่าซาอุดิอาระเบียจะขยายการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจออกไปในเดือนกันยายน และทำให้กำลังการผลิตทั่วโลกเข้มงวดขึ้น
นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ กล่าวว่า การลดกำลังการผลิตของซาอุดีอาระเบียทำให้การขาดดุลกลับมา และคาดว่าซาอุดิอาระเบียลดเพิ่มอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงเดือนกันยายนและลดลงครึ่งหนึ่งจากเดือนตุลาคม
โกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับประมาณการความต้องการน้ำมันขึ้นประมาณ 550,000 บาร์เรลต่อวัน และคาดว่ากำลังการผลิตในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 175,000 บาร์เรลต่อวัน พร้อมคงระดับคาดการณ์เบรนต์ที่ 86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนธันวาคม 2566 และคาดว่า ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็น 93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 เนื่องจากการขาดดุลกำลังการผลิตยังคงดำเนินต่อไป
“อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตสำรองของกลุ่ม OPEC ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา การกลับมาเติบโตในโครงการนอกชายฝั่งระหว่างประเทศ และต้นทุนการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ที่ลดลงนั้นจำกัดส่วนต่างของราคา”
ทั้งนี้ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเบรนต์อยู่ที่ 84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (ภายในเวลา 03.53 GMT) ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์
ที่มา: รอยเตอร์
อ้างอิง : h