หุ้นเอเชียร่วงแรง ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน เซ่นพิษความกังวลศก.จีน-ทิศทางเฟดปรับดอกเบี้ย
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรงต่ำสุดในรอบ 9 เดือน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าสูงสุดในรอบ 2 เดือน เนื่องจากความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวและความเป็นไปได้ที่ ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
MSCI ซึ่งเป็นดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกภายนอกญี่ปุ่น ปรับลดลงอยู่ที่ 495.03 ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายนปีที่ผ่านมา โดยดัชนีร่วงลงล่าสุด 1.14% อยู่ที่ 497.11 ขณะที่ในเดือนสิงหาคมนี้ได้ย่อตัวลงไปแล้ว 8% และจ่อขึ้นแท่นผลการประกอบการประจำเดือนที่ย่ำแย่ที่สุดตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว
การหดตัวของตลาดหุ้นเกิดขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในการซื้อขายเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม โดยดัชนีนิคเคอิของญี่ปุ่นและดัชนี S&P/ASX 200 ของออสเตรเลียลดลง 1%
ดัชนีซีเอสไอ 300 ของจีนก็ปรับตัวลง 0.45% เช่นเดียวกับดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกงที่ปรับตัวลง 1.7% เฉียดจุดต่ำสุดในรอบ 9 เดือน
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีนอยู่ในภาวะซบเซา เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจชุดหนึ่งเผยให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนหลังโควิด-19 ที่ชะงักงัน ขณะที่ นักลงทุนไม่รู้สึกพึงใจกับท่าทีของผู้กำหนดนโยบาย นอกจากนี้ยังมีปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ที่บริษัททรัสต์ชั้นนำของจีนผิดนัดการชำระค่าผลิตภัณฑ์การลงทุน ส่วนราคาของบ้านเรือนที่ดิ่งลงก็ได้สร้างความห่วงกังวลในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ในชั่วข้ามคืน ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ ปิดตลาดในแดนลบ หลังจากรายงานสรุปจากการประชุมของเฟดในเดือนกรกฎาคม เผยว่า เจ้าหน้าที่มีความเห็นต่างในเรื่องความจำเป็นของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยก่อนหน้านี้เฟดปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.25% ในการประชุมเมื่อเดือนดังกล่าว ขณะที่ ความเห็นจากเจ้าหน้าที่มองว่า เฟดจะไม่เปลี่ยนแปลงอัตราภาษีในเดือนกันยายน แต่ยังคงเปิดโอกาสให้มีการปรับเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ในเดือนพฤศจิกายนหรือไม่ก็ในเดือนถัดไป
FedWatch Tool ของ CME Group เผยว่า ตลาดหุ้นประเมินว่า มีโอกาส 86% ที่เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ดังเดิมในเดือนหน้า ทั้งยังมีโอกาส 36% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายน
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ทะลุ 4.288% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคมปีที่แล้ว เข้าใกล้จุดสูงสุดในรอบ 16 ปี ซึ่งอยู่ที่ 4.338%
อัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นช่วยดันให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น โดยดัชนีดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนที่ 103.58 เนื่องจากนักลงทุนมองหาความปลอดภัย
นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับจีนและทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังทำให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์สั่นคลอน โดยราคาน้ำมันปรับตัวลงติดต่อกันเป็นรอบที่ 4 ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ลดลง 0.34% อยู่ที่ 79.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนต์อยู่ที่ 83.23 ดอลลาร์ ลดลง 0.26% ในวันพฤหัสบดี (17 ส.ค.)
ที่มา: รอยเตอร์