เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า รัฐบาลจีน ประกาศลดภาษีอากรสแตมป์ (stamp duty) สำหรับการซื้อขายหุ้น หรือ “ภาษีขายหุ้น” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2551 โดยมีเป้าหมายที่จะดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนซึ่งกำลังอ่อนตัวลงอย่างมากในขณะนี้
กระทรวงการคลังจีน แถลงว่า ภาษีขายหุ้น จะถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.05% จากเดิมที่ระดับ 0.1% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป เพื่อกระตุ้นตลาดทุนและเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ (25 ส.ค.) รอยเตอร์ รายงานว่า ทางการจีนกำลังวางแผนที่จะลดภาษีดังกล่าวลงครึ่งหนึ่ง หลังจากดัชนีหุ้นสำคัญตกลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน โดย Xie Chen ผู้จัดการกองทุนของบริษัท Shanghai Jianwen Investment Management Co กล่าวก่อนการประกาศว่า “นโยบายดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะช่วยกระตุ้นตลาดในระยะสั้น แต่จะไม่ส่งผลกระทบมากนักในระยะยาว การฟื้นตัวอาจคงอยู่เพียง 2-3 วันหรือสั้นกว่านั้น”
ทั้งนี้ นอกจากความเคลื่อนไหวของกระทรวงการคลังแล้ว คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) ยังออกมาตรการเพื่อสนับสนุนความเชื่อมั่นของตลาดในการลงทุนในบริษัทจดทะเบียน โดยกล่าวว่า จีนจะชะลอการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) หลังจากพิจารณาถึงภาวะตลาดในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน CSRC จะคุมเข้มในเรื่องความถี่และขนาดการรีไฟแนนซ์ของบริษัทเอกชนที่มีการเปิดเผยตัวเลขขาดทุนและมีราคาหุ้นที่ต่ำกว่าราคา IPO และควบคุมการลดจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต่อไป9
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้นำจีนให้คำมั่นเมื่อปลายเดือนที่แล้วว่า จะฟื้นฟูตลาดหุ้น ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งกำลังสั่นคลอน เนื่องจากการฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโรคและวิกฤตหนี้ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
จีนได้ดำเนินมาตรการต่างๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงการปรับลดเกณฑ์มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่สำคัญน้อยกว่าที่คาดไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่นักลงทุนกำลังเรียกร้องให้มีการตอบสนองทางนโยบายที่แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายจำนวนมหาศาลของรัฐบาล
ที่มา: รอยเตอร์